
“โรคอ้วน” เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่กำลังเพิ่มขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเป็นภาวะหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา ซึ่งมีสาเหตุการเกิดได้หลายสาเหตุ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของพฤติกรรมการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยภายในอีกหลายด้านที่ส่งผลต่อภาวะน้ำหนักเกินและนำไปสู่การเกิดโรคอ้วน การได้การรู้เท่าทันโรคทั้งสาเหตุ วิธีป้องกันและรักษาจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยลดการเกิดโรคอ้วน และความเสี่ยงของโรคอ้วนที่ตามมาได้
โรคอ้วนคืออะไร?
โรคอ้วน คือ ภาวะที่ร่างกายมีไขมันสะสมมากเกิน จนไม่สามารถเผาผลาญได้หมด ทำให้พลังงานถูกเก็บสะสมไว้ในรูปของไขมันตามอวัยวะต่าง ๆ บางคนอาจสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างได้ชัดเจน ในขณะที่บางคนอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ดังนั้น การตรวจวัดค่าดัชนีมวลกาย (BMI; Body Mass Index) ด้วยตนเองจึงเป็นวิธีที่ช่วยเฝ้าระวังโรคนี้ก่อนนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคอ้วน
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคอ้วนสามารถใช้ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) เป็นตัวประมาณระดับไขมันในร่างกายเบื้องต้น แม้ว่า BMI จะไม่สามารถบอกปริมาณไขมันที่แท้จริงได้ แต่ก็ใช้เป็นแนวทางคัดกรองภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน โดยแบ่งเกณฑ์ดังนี้

นอกจากนั้นแล้วค่าดัชนีมวลกายแล้ว หากวัดความยาวรอบเอว ในผู้ชายตั้งแต่ 90 ซม. และผู้หญิงตั้งแต่ 80 ซม. ขึ้นไป จะถือว่ามีภาวะ “อ้วนลงพุง” ร่วมด้วย ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและโรคหัวใจ ทั้งนี้ค่าดัชนีมวลกายสูงกว่า 25 กก./เมตร² อาจพบได้ในผู้ที่มีกล้ามเนื้อมาก โดยไม่ได้หมายความว่ามีไขมันส่วนเกินในร่างกายสูงเสมอไป ดังนั้นการวินิจฉัยอย่างละเอียดโดยแพทย์จึงต้องมีการทบทวนประวัติสุขภาพ การตรวจร่างกาย วัดรอบเอว ตรวจเลือด และสอบถามปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อย่างละเอียด
อ่านบทความที่น่าสนใจ : เหตุใดการ ลดน้ำหนัก โดยวิธีทั่วไปจึงไม่ได้ผล

สาเหตุของการเกิดโรคอ้วน
สาเหตุของการเกิดภาวะน้ำหนักเกินเป็นได้จากทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ซึ่งสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคอ้วนมีดังนี้
ปัจจัยภายใน
ปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อการเกิดโรคอ้วนเป็นสาเหตุที่หลีกเลี่ยงได้ยากและหลายคนมีความเสี่ยงจากปัจจัยเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว
- พันธุกรรม : ปริมาณไขมันสะสมในร่างกาย การเผาผลาญแคลอรี่ การเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน และประสิทธิภาพในการควบคุมความอยากอาหารมีแนวโน้มว่าสัมพันธ์กับพันธุกรรม
- ความเครียด : จากการวินิจฉัยสาเหตุของโรคในผู้ป่วยบางรายพบว่า มีความรู้สึกเครียดที่เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับสภาพสังคมและเศรษฐกิจ รวมถึงผู้ที่มีสภาวะอารมณ์และจิตใจแปรปรวนด้วย
- อายุ : อายุที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานบางอย่างลดลง เช่น การเผาผลาญไขมัน การหลั่งฮอร์โมน และปริมาณของมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งส่งผลต่อเรื่องน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นได้
- ความผิดปกติของร่างกาย : ผู้มีภาวะโรคอ้วนลงพุงบางรายมีความผิดปกติของร่างกายร่วมด้วย เช่น การทำงานของต่อมไทรอยด์ หรือต่อมใต้สมอง
- การรับประทานยาบางชนิด : เช่น ยาเบาหวาน ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาต้านอาการชัก และยาสเตียรอยด์
ปัจจัยภายนอก
ปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดโรคอ้วนเป็นสาเหตุและปัจจัยที่มาจากพฤติกรรมและการใช้ชีวิตของผู้ป่วยเอง ทั้งยังเป็นพฤติกรรมที่คุ้นเคยสะสมเป็นเวลานาน ดังนี้
- รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา : เช่น การรับประทานอาหารแบบกินจุบจิบ และอาหารมื้อดึกเป็นประจำ
- รับประทานอาหารไขมันสูง : อาหารทอด แป้ง ของหวาน เนื้อสัตว์ติดมัน เนื้อสัตว์แปรรูป หากรับประทานครั้งมาก ๆ และเป็นประจำก็ส่งผลต่อไขมันสะสมได้
- ขาดการออกกำลังกาย : พฤติกรรมใช้ชีวิตแบบนั่ง ๆ นอน ๆ ขาดการขยับเคลื่อนไหวร่างกายมาเป็นเวลานาน
- พักผ่อนไม่เพียงพอ : การนอนหลับน้อยกว่า 6-8 ชั่วโมง เป็นเวลานานติดต่อกัน ส่งผลเสียต่อระบบการเผาผลาญในร่างกายได้
- การลดน้ำหนักผิดวิธี : บางคนลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหาร แต่ไม่เพิ่มการเผาผลาญหรือการออกกำลังกาย ทำให้น้ำหนักลดลงเพียงระยะเวลาสั้น ๆ แล้วกลับมามีน้ำหนักตัวและไขมันสะสมเพิ่มขึ้น รวมถึงการซื้อยาลดน้ำหนักมาทานเองก็อาจทำให้เกิดภาวะที่เราเรียกกันว่าโยโย่
โรคอ้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร
เมื่อต้องประสบภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน หลายคนอาจรู้สึกถึงความไม่มั่นใจจากรูปร่างที่เปลี่ยนไป ส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพและความมั่นใจ แต่นอกจากผลกระทบในด้านนี้แล้ว โรคอ้วน ยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคเรื้อรังหรือโรคร้ายแรงได้หลายโรค อีกทั้งผู้มีภาวะอ้วนมากยิ่งเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยโรคร่วมได้เร็วกว่าคนทั่วไปประมาณ 7-10 ปี โดยโรคร่วมจากความอ้วนที่พบบ่อยมีดังนี้
- นอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- หอบหืด เหนื่อยง่าย
- โรคหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิต
- ไขมันเกาะตับ นิ่วในถุงน้ำดี
- มะเร็งบางชนิด
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคเบาหวาน
- โรคข้อเข่าเสื่อม
- โรคทางผิวหนัง
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ
- ภาวะมีบุตรยาก
- อัมพฤกษ์ อัมพาต
- ไขมันในเลือดสูง
- ความดันโลหิตสูง
แนวทางรักษาโรคอ้วน
สำหรับแนวทางการรักษาโรคอ้วนแพทย์จะวินิจฉัยจากระดับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนและค่าดัชนีมวลกายของผู้ป่วย ซึ่งวิธีรักษาโรคอ้วนทำได้ดังนี้
- ควบคุมอาหาร
กรณีที่ผู้ป่วยไม่ได้มีระดับ BMI ที่สูงเกินไปหรือยังไม่มีความเสี่ยงต่อโรคร่วม แพทย์อาจแนะนำให้ใช้การควบคุมอาหารเป็นวิธีแรก โดยการรับประทานอาหารแบบควบคุมแคลอรี่ หรือวันละไม่เกิน 800-1200 Kcal รวมถึงการเลือกอาหารที่หลากหลายและเน้นอาหารที่ช่วยในการเผาผลาญ เช่น Mediterranean Diet หรือ Intermittent Fasting
- การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายเป็นวิธีรักษาโรคอ้วนที่ต้องทำควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร ผู้มีภาวะน้ำหนักเกินควรออกกำลังกายในระดับปานกลาง หรือมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ใน Zone 2 ซึ่งเป็นระดับที่ช่วยสลายไขมัน โดยต้องทำเวลาอย่างน้อยวันละ 30 นาที และทำจำนวนไม่น้อยกว่า 5 วันต่อสัปดาห์
ทั้งการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย เป็นวิธีเบื้องต้นที่ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพแต่ต้องอาศัยความต่อเนื่องและวินัยของผู้ป่วยด้วย และในบางกรณี เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัวอาจต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์เพื่อป้องกันอันตรายจากการลดน้ำหนักด้วยตัวเอง
- ผ่าตัดส่องกล้องรักษาภาวะโรคอ้วน
การผ่าตัดผ่านกล้องรักษาโรคอ้วนแพทย์จะตรวจวินิจฉัยร่วมกับการประเมินค่าดัชนีมวลกายของผู้ป่วยเป็นปัจจัยสำคัญ โดยข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด มีดังนี้
- ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย ตั้งแต่ 27.5 kg/m2 ขึ้นไป ร่วมกับเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ให้การรักษาด้วยยารับประทานและยาฉีด (Insulin) แล้วยังควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี หรือ ล้มเหลวจากการการรักษาด้วยยา
- ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย ตั้งแต่ 32.5 กก/ม² และมีโรคร่วมที่เกิดจากภาวะอ้วน
- ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย ตั้งแต่ 37.5 กก/ม² ขั้นไป
นอกจากวิธีการผ่าตัดผ่านกล้องรักษาโรคอ้วนแล้ว ยังมีการรักษาอีกหลายวิธีโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมร่วมกับผู้ป่วยในแต่ละราย โดยหลัก ๆ สามารถแบ่งออกเป็น 4 วิธี ได้แก่
- การส่องกล้องเย็บกระเพาะ : เป็นวิธีที่ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง อิ่มเร็วมากขึ้น เหมาะกับผู้ที่ค่าดัชนีมวลกาย มากกว่า 27.5 กก/ม² ให้ผลลัพธ์เฉลี่ยน้ำหนักลดลงที่ 10-15% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น
- การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะผ่านกล้อง : เป็นวิธีที่ทำให้ปริมาตรกระเพาะอาหารเล็กลง ทำให้อิ่มเร็วมากขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยควบคุมความอยากอาหารได้อีกด้วย ข้อบ่งชี้ของการผ่าตัดดังที่กล่าวข้างต้น ผลลัพธ์เฉลี่ยน้ำหนักลดลงที่ 25-35% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น
- การผ่าตัดกระเพาะแบบบายพาส : เป็นวิธีที่เปลี่ยนแปลงทางเดินทางของอาหารและลำไส้เล็ก ร่วมกับการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะ ทำให้วิธีนี้มีการลดการดูดซึมของอาหาร ร่วมกับปริมาตรกระเพาะที่เล็กลงจะทำให้รับประทานได้น้อยลง อิ่มเร็วมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีค่าดัชนีมวลกายมาก หรือมีโรคร่วมที่ควบคุมได้ยาก เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ผลลัพธ์เฉลี่ยน้ำหนักลดลงที่ 30-40% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น
- ส่องกล้องใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร : เป็นวิธีการส่องกล้องทางปาก ใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารเพื่อลดปริมาตรของกระเพาะอาหารที่จะรับประทานอาหารได้ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วมากขึ้น เป็นวิธีที่เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการลดน้ำหนักด้วยการผ่าตัด ผลลัพธ์เฉลี่ยน้ำหนักลดลงที่ 10-15% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น

ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดรักษาโรคอ้วน
เมื่อแพทย์และผู้ป่วยร่วมกัน พิจารณาเลือกวิธีผ่าตัดการรักษาภาวะอ้วนแล้ว ผู้ป่วยต้องมีการเตรียมตัวเตรียมความพร้อมตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ตรวจสุขภาพทั่วไป เช่น การตรวจเลือด อัลตราซาวด์ช่องท้อง เอกซเรย์หรือในบางรายต้องตรวจสมรรถภาพปอด และตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
- ประเมินความเสี่ยงของโรคร่วมของภาวะอ้วน เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และอื่น ๆ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระหว่างการผ่าตัด และในระยะยาวหลังผ่าตัด
- ประเมินและเตรียมความพร้อมด้านโภชนาการ แพทย์และนักโภชนาการ จะประเมินและให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยมีความพร้อมและสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินอาหาร รวมทั้งการดูแลตนเองได้ในระยะยาว
- ส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบนก่อนการผ่าตัด เพื่อประเมินรอยโรคผิดปกติ เช่น แผลในกระเพาะอาหาร ติ่งเนื้อ เป็นต้น หรือ ภาวะไส้เลื่อนหลอดอาหารหรือกระบังลมซึ่งมีโอกาสที่พบร่วมกันได้ ซึ่งหากมีความผิดปกติแพทย์จะแจ้งแก่ผู้ป่วยทราบ
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากรับประทานยาหรืออาหารเสริมร่วมด้วย เพื่อตรวจสอบว่ายาหรืออาหารเสริมชนิดใดที่ต้องหยุดใช้ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- งดสูบบุหรี่ ไม่น้อยกว่า 4 สัปดาห์ ก่อนเข้ารับการผ่าตัดและตลอดไป เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ การหายของแผลและการฟื้นตัวช้า รวมถึงความเสี่ยงจากความดันโลหิตสูง โรคปอด และโรคหัวใจหลอดเลือดในอนาคตอีกด้วย
การดูแลตัวเองหลังการรักษาโรคอ้วน
หลังผ่าตัดส่องกล้องรักษาโรคอ้วน ผู้ป่วยอาจต้องพักฟื้นประมาณ 1-3 วัน ขึ้นอยู่กับวิธีผ่าตัดรักษา ซึ่งหลังจากการผ่าตัดแล้วผู้ป่วยควรดูแลตัวเองดังต่อไปนี้
- รับประทานอาหารตามคำแนะนำของแพทย์และนักโภชนาการอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและเพียงพอ
- งดรับประทานอาหารประเภทแป้ง ของทอด อาหารไขมันสูง งดชา กาแฟ ของหวานและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- งดยกของหนัก ควรออกกำลังกายเบา ๆ เช่นการเดิน
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร การออกกำลังกาย รวมถึงพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผล
- หากมีอาการผิดปกติ หรือมีไข้สูง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
- หลังจากระยะฟื้นฟูหลังผ่าตัดแล้ว ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารอย่างต่อเนื่อง และออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อการลดน้ำหนักที่ให้ผลลัพธ์อย่างยั่งยืน
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยรักษาโรคอ้วน
โรคอ้วนสามารถรักษาให้หายและกลับมามีสุขภาพพร้อมรูปร่างที่ดีขึ้นได้ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคร่วมจากภาวะอ้วน หากพบว่าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหรือมีรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไป ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและหาแนวทางรักษาภาวะน้ำหนักเกินที่ตรงจุด ซึ่งที่ศูนย์ให้คำแนะนำผ่าตัดส่องกล้องและการลดน้ำหนัก MSC Healthcare เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาเพื่อรักษาภาวะน้ำหนักเกินให้เหมาะสมแต่ละบุคคล
การผ่าตัดส่องกล้องรักษาภาวะอ้วน หรือ น้ำหนักเกิน ที่ MSC Healthcare พิจารณาจากผู้ป่วย ค่าดัชนีมวลกาย และความเสี่ยงของโรคร่วมเป็นหลักสำคัญ เพื่อเลือกวิธีรักษาที่ปลอดภัยและได้ผลดีที่สุด เพราะเรามุ่งเน้นการรักษามากกว่าเรื่องความงาม ทุกเคสจึงต้องปลอดภัยมากที่สุด และด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยพร้อมทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ การผ่าตัดผ่านกล้องรักษาโรคอ้วนที่ MSC Healthcare ผู้ป่วยมั่นใจได้เลยว่า แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว และได้รับคำแนะนำหลังผ่าตัดที่เหมาะสมเพื่อการลดน้ำหนักได้อย่างยั่งยืน
สอบถามข้อมูลหรือนัดปรึกษาแพทย์ฟรี
โทร : 065-5094459
Line : @msc.healthcare