
หลากหลายความเชื่อที่ส่งต่อกันมาจากอดีตสู่ปัจจุบัน “ไม่ใส่กางเกงในแล้วจะเป็นไส้เลื่อน” เชื่อว่าในปัจจุบันยังมีคนไม่มากก็น้อยที่ยังสงสัยหรือเชื่อในความเชื่อนี้ไปแล้ว
ทำไมคนถึงโยงเรื่องกางเกงในกับไส้เลื่อน ?
ความเข้าใจผิด ๆ นี้ อาจเกิดมาจากแนวคิดว่า “กางเกงใน” จะช่วย “พยุง” อวัยวะภายในหรือกล้ามเนื้อหน้าท้อง โดยเฉพาะในผู้ชายที่อาจจะรู้สึกว่าการไม่ใส่กางเกงใน ทำให้รู้สึก “โล่ง” หรือ “ไม่มั่นคง” และอาจคิดว่าหากไม่ใส่ก็จะไม่มีอะไรมาพยุง ทำให้เกิดการหย่อนคล้อยและเป็นไส้เลื่อนได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม กางเกงในไม่มีส่วนช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังหน้าท้อง ซึ่งเป็นต้นเหตุที่แท้จริงของการเกิดไส้เลื่อน หน้าที่หลักของกางเกงในคือเพื่อสุขอนามัย ความสบาย และการปกปิดเท่านั้น

ไส้เลื่อนอันตรายกับทุกเพศ ทุกวัย จริงหรือ ?
“โรคไส้เลื่อน” หรือ “Hernia” ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอย่างที่คิด เป็นโรคที่หลายคนยังเข้าใจผิดว่าเป็นโรคไม่ร้ายแรง หรืออาจเข้าใจว่าโรคนี้เกิดกับผู้ชายที่ชอบยกของหนักเท่านั้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรคไส้เลื่อนสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่ทารกแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ หากพบว่ามีก้อนนูนหรืออาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษา เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน และนำไปสู่อันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้
อ่านบทความที่น่าสนใจ : ไส้เลื่อน… อย่าปล่อยไว้! เช็กตำแหน่งที่พบบ่อย สาเหตุ และวิธีรักษา
สาเหตุที่ “ผนังหน้าท้อง” อ่อนแอและเสี่ยงเป็น “ไส้เลื่อน”
- ความดันในช่องท้องที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น การยกของหนัก, การเบ่งอุจจาระหรือปัสสาวะแรง ๆ, การไอหรือจามเรื้อรัง, การตั้งครรภ์, หรือการมีน้ำหนักตัวมากเกินไป
- ผนังกล้ามเนื้อที่อ่อนแอตั้งแต่กำเนิด กรณีนี้ พบได้บ่อยในเด็กทารก
- อายุมากขึ้น เมื่อมีอายุที่มากขึ้น ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อต่าง ๆ จะลดลงตามธรรมชาติ
- การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดในช่องท้อง อาจทำให้เกิดจุดอ่อนแอในช่องท้องขึ้นได้
ใครเสี่ยงเป็นโรคไส้เลื่อนได้บ้าง ?
คำตอบคือ ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง หรือผู้ชาย หากมีปัจจัยเสี่ยง ดังต่อไปนี้
- กล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแอแต่กำเนิด
- ยกของหนักบ่อย หรือออกกำลังกายโดยใช้แรงเยอะ
- ไอเรื้อรัง หรือท้องผูกเรื้อรัง
- น้ำหนักมากเกินไป หรือการตั้งครรภ์
- เคยมีประวัติการผ่าตัดช่องท้องมาก่อน
“แม้แต่ทารกก็สามารถเกิดไส้เลื่อนได้ โดยเฉพาะไส้เลื่อนสะดือที่พบได้บ่อยในช่วงแรกเกิด”
โรคไส้เลื่อนเกิดได้กับทุกเพศ ทุกวัย
หลายคนเข้าใจผิดว่าโรคนี้จะเกิดเฉพาะผู้ชายหรือเฉพาะคนสูงอายุเท่านั้น แต่ความจริงคือ …
- เด็กแรกเกิด – เด็กเล็ก
เนื่องจากผนังกล้ามเนื้อยังพัฒนาไม่สมบูรณ์เต็มที่ ในบางกรณีเด็กแรกเกิดอาจเกิด “ไส้เลื่อนขาหนีบ” หรือ “ไส้เลื่อนสะดือ” ตั้งแต่เกิดก็ได้ โดยส่วนใหญ่แล้วพบมากที่สุดในเฉพาะเด็กผู้ชาย และบางรายมักหายเองเมื่ออายุ 3 – 5 ปี
- ผู้ชายหรือผู้หญิงวัยทำงาน (อายุ 20 – 50 ปี)
โดยผู้ชายมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้หญิง เนื่องจากโครงสร้างของร่างกายและช่องทางเดินของอัณฑะ ส่วนใหญ่พบเป็นไส้เลื่อนขาหนีบ มากที่สุดและพบมากในผู้ชาย (สัดส่วน 8 : 1 เมื่อเทียบกับผู้หญิง) สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากการยกของหนัก หรือการออกกำลังกายหนักบ่อย ๆ ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน และผู้หญิงก็สามารถเป็นได้ โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์ หรือช่วงที่มีภาวะกล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแอ
- ผู้หญิงตั้งครรภ์
ในภาวะตั้งครรภ์มักเป็นช่วงที่ร่างกายของผู้หญิงเกิดการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมน อุณหภูมิในร่างกาย จะทำให้ช่วงตั้งครรภ์เป็นช่วงที่มีความอ่อนแอทั้งทางร่างกาย และมีความอ่อนไหวทางอารมณ์มากที่สุด จึงทำให้โรคภัยต่าง ๆ เข้ามาเบียดเบียนได้ง่ายขึ้น บางครั้งสามารถทำให้เป็น “ไส้เลื่อนสะดือ” หรือ “ไส้เลื่อนเส้นกลางหน้าท้อง” จากภาวะการตั้งครรภ์ได้
- ผู้สูงอายุ (อายุ 60+ ปีขึ้นไป)
มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เนื่องจากกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อมีการเสื่อมสภาพและถดถอยตามวัย จึงทำให้สามารถทำให้พบโรคเกี่ยวกับไส้เลื่อนได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงเช่นกัน
อ่านบทความที่น่าสนใจ : ไส้เลื่อนมีกี่ประเภท และแตกต่างกันอย่างไร?
คนในครอบครัวเคยเป็นไส้เลื่อน ต้องอ่าน!
เมื่อพูดถึง “โรคไส้เลื่อน” หลายคนอาจจะนึกถึงเพียงแค่สาเหตุหลักที่เกิดจากพฤติกรรม เช่น การยกของหนักหรือการไอเรื้อรัง แต่ยังมีคำถามที่หลายครอบครัวสงสัยว่า “หากพ่อแม่เป็นโรคไส้เลื่อน” ลูกจะเป็นโรคนี้ได้ด้วยหรือไม่ ?
ไส้เลื่อนติดต่อทางพันธุกรรมได้จริง ?
แม้ว่า “โรคไส้เลื่อน” จะไม่ใช่โรคที่สามารถ “ถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยตรง” เหมือนโรคทางพันธุกรรมอื่น ๆ เช่น ธาลัสซีเมีย หรือฮีโมฟีเลีย ฯลฯ แต่ยังมีงานวิจัยบางส่วนพบว่า พันธุกรรมอาจมีส่วนเกี่ยวข้องโดยเฉพาะไส้เลื่อนขาหนีบ ในผู้ชาย เนื่องจากโครงสร้างของช่องท้องและขาหนีบอาจถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก และความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมนี้ เป็นการถ่ายทอดแนวโน้มที่จะมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่อ่อนแอ ทำให้ผนังหน้าท้องมีโอกาสเกิดช่องโหว่ได้ง่ายกว่าปกติเมื่อเผชิญกับปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ เช่น
- กล้ามเนื้อผนังช่องท้องอ่อนแอตั้งแต่กำเนิด เป็นความอ่อนแอของผนังกล้ามเนื้อหน้าท้องอาจมีพื้นฐานทางพันธุกรรม อาทิ ทารกบางคนอาจมีผนังหน้าท้องที่ปิดไม่สนิทตั้งแต่กำเนิด ซึ่งเป็นภาวะทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดไส้เลื่อนสะดือหรือไส้เลื่อนที่บริเวณอื่น ๆ
- ช่องเปิดบริเวณขาหนีบปิดไม่สนิทหลังคลอด (พบได้ในเด็กผู้ชาย)
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นไส้เลื่อนมีแนวโน้มที่จะเกิดโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นไส้เลื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไส้เลื่อนขาหนีบ (Inguinal Hernia) โอกาสที่จะเป็นไส้เลื่อนก็อาจสูงกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย และบางกรณีเมื่อมีอายุมากขึ้นไปอาจมีแนวโน้มที่เนื้อเยื่อเกี่ยวพันจะเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ทำให้มีความเสี่ยงสูงขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น
- ในครอบครัวเดียวกัน พบการเกิดไส้เลื่อนมากกว่าประชากรทั่วไป เช่น คนที่มีพ่อแม่เป็นโรคไส้เลื่อน มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 8 – 10 เท่า
- แฝดเหมือนมีโอกาสเสี่ยงเป็นไส้เลื่อนพร้อมกันสูงกว่าแฝดต่างไข่
- โรคหรือกลุ่มอาการทางพันธุกรรมบางชนิดที่ทำให้เนื้อเยื่ออ่อนแอกว่าปกติ
ประเภทไส้เลื่อนที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม
1. ไส้เลื่อนสะดือในเด็ก
- มีส่วนเกี่ยวข้องของพันธุกรรมชัดเจน
- พบว่าคนในครอบครัวที่มีประวัติเป็นโรคไส้เลื่อน มีความเสี่ยงถึง 15 – 30%
- ชาวแอฟริกันและอเมริกันมีความเสี่ยงสูงกว่าชาวเอเชีย
2. ไส้เลื่อนขาหนีบ
- มีส่วนเกี่ยวข้องของพันธุกรรมปานกลาง
- เกิดจากจุดอ่อนที่ผ่านทางเดินสืบพันธุ์
- พบมากในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง (อัตราส่วน 8 : 1)
3. ไส้เลื่อนกะบังลม
- มีส่วนเกี่ยวข้องของพันธุกรรมน้อยที่สุด
- เกิดจากการบาดเจ็บหรือภาวะเพิ่มความดัน
ไส้เลื่อนเป็นโรคติดต่อหรือไม่ ?
- ไม่ติดต่อผ่านการสัมผัส ลมหายใจ หรือสารคัดหลั่ง
- ไม่ใช่โรคติดเชื้อ ที่เกิดจากเชื้อโรค
- ไม่สามารถถ่ายทอดโดยตรง จากพ่อแม่สู่ลูก

ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่สำคัญกว่าพันธุกรรม
สำหรับโรคไส้เลื่อน แม้พันธุกรรมจะมีส่วน แต่ปัจจัยเสี่ยงจากพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมกลับมีอิทธิพลมากกว่าในการกระตุ้นให้เกิดไส้เลื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ใหญ่ มีดังนี้
1. ปัจจัยสิ่งแวดล้อม (ประมาณ 70 – 80%)
- การยกของหนักหรือออกแรงมาก การออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงเบ่งมาก ๆ จะทำให้เพิ่มความดันในช่องท้องมากขึ้นกว่าคนปกติ
- การไอเรื้อรัง จากการสูบบุหรี่หรือโรคปอด รวมไปถึงผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง
- ภาวะท้องผูก ท้องผูกเรื้อรัง ปัญหาปัสสาวะ ต้องเบ่งบ่อยทำให้ต้องเพิ่มความดันตอนเบ่ง
- โรคอ้วน น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน เพิ่มความดันและลดความแข็งแรงผนังท้อง
- การตั้งครรภ์ เป็นการที่ผนังหน้าท้องถูกยืดขยายและมีความดันเพิ่มขึ้น
- การผ่าตัดช่องท้อง หรือเคยผ่าตัดช่องท้องมาก่อน โดยบริเวณที่มีการผ่าตัดอาจเกิดเป็นจุดอ่อนแอ ทำให้เกิดไส้เลื่อนขึ้นภายหลังได้
- อายุที่มากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายจะลดลงตามธรรมชาติ ทำให้มีโอกาสเกิดไส้เลื่อนได้ง่ายขึ้น
- เพศชาย ผู้ชายมีโอกาสเกิดไส้เลื่อนขาหนีบมากกว่าผู้หญิง เนื่องจากลักษณะทางกายภาพบริเวณขาหนีบที่มีช่องเปิดกว้างกว่า
2. ปัจจัยที่สามารถควบคุมได้
- ออกกำลังกายเหมาะสม เน้นการออกกำลังกายที่ช่วยสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscle) และกล้ามเนื้อหน้าท้อง หรือออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดิน ว่ายน้ำ
- รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสมอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ควบคุมน้ำหนัก เพื่อลดความดันในช่องท้อง เช่น กินอาหาร 5 หมู่ครบถ้วน ลดข้าวเพิ่มผัก เลิกดื่มเครื่องดื่มหวาน เปลี่ยนเป็นน้ำเปล่า
- เลิกบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงการรับกลิ่นควันบุหรี่มือสองจากบุคคลใกล้ชิด เพื่อลดการไอและระคายคอ
- กินอาหารที่มีไฟเบอร์สูง กินผักใบเขียว ผลไม้สด ดื่มน้ำเปล่า 8 – 10 แก้วต่อวัน ป้องกันท้องผูกที่เสี่ยงต่อการเกิดท้องผูกเรื้อรัง
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เพิ่มแรงเบ่ง เช่น การยกของหนักเกินกำลัง การเบ่งอุจจาระหรือปัสสาวะแรง ๆ ไปห้องน้ำเมื่อรู้สึกอยาก อย่ากลั้น รักษาสุขภาพระบบขับถ่าย ควรกินอาหารมีกากใยและดื่มน้ำเพียงพอ
- รักษาโรคประจำตัว หากมีอาการไอหรือท้องผูกเรื้อรัง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาอย่างถูกวิธี ควรรักษาอาการไอเรื้อรังและเลิกสูบบุหรี่
- สังเกตอาการผิดปกติ หากพบว่ามี ก้อนเนื้อนูนปูดออกมาบริเวณหน้าท้องหรือขาหนีบ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัว
ข้อแนะนำสำหรับคนที่มีประวัติครอบครัว
- ตรวจร่างกายประจำปี โดยเฉพาะบริเวณขาหนีบและสะดือ
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมเสี่ยงสูง เช่น การยกเวทหนัก กีฬาต่อสู้ หรือกิจกรรมที่ออกแรงเยอะกว่าปกติ
- ดูแลสุขภาพโดยรวม รักษาน้ำหนัก ออกกำลังกาย ควบคุมปริมาณอาหารในแต่ละวัน
- เรียนรู้อาการเตือน เพื่อรับความรู้อาการเบื้องต้นเกี่ยวกับการภาวะเสี่ยง การรักษาก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน
ใครควรระวังเป็นพิเศษ ?
สำหรับผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นไส้เลื่อน หรือกังวลว่าตัวเองจะมีความเสี่ยง การป้องกันล่วงหน้าจะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ผู้ที่มี พ่อแม่หรือญาติใกล้ชิดเคยเป็นไส้เลื่อน
- ผู้ชาย โดยเฉพาะวัยทำงานที่ใช้แรงบ่อย
- ทารกแรกเกิด โดยเฉพาะเพศชาย
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือพฤติกรรมการใช้ชีวิต ที่ทำให้ต้องเบ่งหรือไอบ่อย
พฤติกรรมที่คิดว่าไม่เสี่ยงถ้าไม่เลี่ยงอาจไม่รอด!
“โรคไส้เลื่อน” หลายคนอาจคิดว่าโรคนี้เป็นเรื่องไกลตัว เป็นโรคที่เกิดเฉพาะกับผู้ที่ทำงานใช้แรงงานหนักเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วพฤติกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่างที่คุณทำซ้ำ ๆ โดยไม่รู้ตัวต่างหากที่เป็นตัวการสำคัญเพิ่มความเสี่ยงได้
พฤติกรรมที่เป็นไส้เลื่อนโดยไม่รู้ตัว ?
1. ยกของหนักโดยไม่ใช้ท่าที่ถูกต้องหรือออกแรงมากเกินไป
การยกของหนักในชีวิตประจำวันก็ไม่ใช่แค่การแบกถุงข้าวสารเท่านั้น แต่การยกกระเป๋าเดินทางหนัก ๆ การจัดสวน หรือการเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ล้วนต้องใช้กำลังมหาศาล หากคุณใช้ท่าในการเคลื่อนที่ไม่ถูกต้องนั่นเท่ากับคุณกำลังเริ่มสร้างความดันให้กับช่องท้องและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไส้เลื่อนได้ ทำให้ผนังกล้ามเนื้อเกิดการฉีกขาดหรืออ่อนแอ หากกล้ามเนื้อผนังช่องท้องอ่อนแออวัยวะภายในอาจเคลื่อนออกมาเป็นไส้เลื่อนได้
อาชีพเสี่ยง :
- คนงานก่อสร้าง แรงงานขนของ
- คนยกของในคลังสินค้า
- พ่อค้าแม่ค้าในตลาด
- คนขับรถส่งของ คนส่งพัสดุ
- ผู้ที่ออกกำลังกายแบบยกน้ำหนักโดยไม่มีการวอร์มร่างกายที่ถูกต้อง
ท่าทางเสี่ยงและคำแนะนำ :
- งอหลังยกของหนัก แทนที่จะลงน้ำหนักที่ขา – ย่อตัวลง ใช้กล้ามเนื้อขาและแขนในการยก แทนการใช้กล้ามเนื้อหลังหรือหน้าท้อง
- ยกของหนักเหนือศีรษะ บ่อย ๆ – หลีกเลี่ยงการยกของหนักเกินกำลัง
2. ไอเรื้อรังหรือจามแรงบ่อย ๆ
อาการไอเรื้อรังจากโรคปอดเรื้อรัง การสูบบุหรี่ หรือภูมิแพ้ ทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องเกร็งบ่อย การไอหรือจามแต่ละครั้งจะทำให้ความดันในช่องท้องเพิ่มสูงขึ้นชั่วขณะ นั่นหมายความว่าคุณกำลังสร้างแรงกระแทกให้กับผนังหน้าท้องอย่างสม่ำเสมอจากการการเกร็งซ้ำ ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การเกิดไส้เลื่อน โดยเฉพาะในผู้ที่ผนังหน้าท้องเริ่มอ่อนแอลงตามวัย
สาเหตุหลัก :
- การสูบบุหรี่จัด ทำให้มีอาการไอเรื้อรัง
- โรคหอบหืด COPD ที่ไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เบื้องต้นตามคำแนะนำของแพทย์
- โรคจมูกอักเสบเรื้อรัง จะทำให้จามบ่อย
- ผู้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมมีฝุ่น โรงงาน ก่อสร้าง
พฤติกรรมเสี่ยงและคำแนะนำ :
- ไอแรงโดยไม่ค้ำท้อง – ยืนไอแทนที่จะนั่งพิง
- ผู้ป่วยโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและผู้สูบบุหรี่จัดมีความเสี่ยงสูง – หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น ฝุ่น ควันบุหรี่
- ผู้ที่มีโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด หรือภูมิแพ้ อาจไอหรือจามแรงบ่อย – รักษาโรคประจำตัวให้ดี หากคุณมีอาการไอหรือจามเรื้อรัง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรักษาต้นเหตุให้หายขาด
3. ท้องผูกและเบ่งบ่อยขณะขับถ่ายเป็นประจำ
การเบ่งอุจจาระแรง ๆ เป็นเวลานานเพื่อขับถ่าย เป็นหนึ่งในพฤติกรรมที่สร้างแรงกดดันต่อผนังหน้าท้องสูงมาก หากคุณมีอาการท้องผูกเป็นประจำและต้องใช้แรงเบ่งทุกวัน นั่นคือการสะสมความเสี่ยงต่อการเกิดไส้เลื่อนอย่างช้า ๆ หากทำบ่อยเป็นเวลานาน จะทำให้ผนังช่องท้องเสียความแข็งแรงและเสี่ยงต่อการเกิดไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบหรือสะดือ
พฤติกรรมเสี่ยง :
- เบ่งแรงเมื่อถ่ายอุจจาระ เนื่องจากอาการท้องผูก
- นั่งเบ่งนานในห้องน้ำ มากกว่า 10 – 15 นาที
- เล่นมือถือขณะนั่งถ่าย ทำให้เบ่งนาน
- กลั้นปัสสาวะบ่อย ๆ แล้วปล่อยแรงมาก
ปัจจัยเสริมและคำแนะนำ :
- ดื่มน้ำน้อย ขาดการดื่มน้ำ – ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- กินผักผลไม้และอาหารที่มีกากใยน้อย – กินอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช
4. น้ำหนักเกินมาตรฐานหรืออ้วนลงพุง
น้ำหนักตัวมากทำให้กล้ามเนื้อและผนังช่องท้องต้องรับแรงดันสูงตลอดเวลา โดยเฉพาะการมีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องที่มากเกินไปจะเพิ่มแรงดันในช่องท้องตลอดเวลา ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอเสี่ยงต่อไส้เลื่อนและจะเพิ่มความดันในช่องท้องอย่างถาวร
“ยิ่งคุณมีน้ำหนักมากเท่าไหร่ ผนังหน้าท้องก็ต้องรับภาระมากขึ้นเท่านั้น”
พฤติกรรมเสี่ยงและคำแนะนำ :
- กินของหวาน อาหารมันเป็นประจำ กินข้าวดึก ๆ ก่อนนอน – ควบคุมอาหาร
- นั่งทำงานนาน ไม่ออกกำลังกาย – ยืดเส้นยืดสาย ขยับ เดินหรือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นการขับถ่ายและการทำงานของลำไส้
- ดื่มเบียร์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ่อยกว่าคนปกติ
ผลกระทบ :
- เพิ่มความดันในช่องท้องตลอดเวลา
- ทำให้ผนังหน้าท้องขยายและอ่อนแอ
- ไขมันสะสมรอบอวัยวะภายใน
5. การตั้งครรภ์โดยไม่มีการดูแลกล้ามเนื้อหน้าท้อง
ในช่วงตั้งครรภ์ กล้ามเนื้อหน้าท้องจะถูกยืดขยายออกอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับทารกในครรภ์ ทำให้ผนังกล้ามเนื้ออ่อนแอและมีโอกาสเกิดไส้เลื่อนได้ พบได้บ่อยในคุณแม่ที่เคยตั้งครรภ์หลายครั้ง หากไม่มีการดูแลหรือออกกำลังกายที่เหมาะสมอาจเกิด “ไส้เลื่อนสะดือ” ได้
สถานการณ์เสี่ยงและคำแนะนำ :
- ตั้งครรภ์ซ้ำ ๆ ในระยะเวลาสั้น น้ำหนักเพิ่มกะทันหัน ลดน้ำหนักเร็วมากหลังคลอด – ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการออกกำลังกายสำหรับหญิงตั้งครรภ์
6. การออกกำลังกายผิดวิธี
การเล่นเวทหรือออกกำลังกายโดยใช้แรงหน้าท้องมากเกินไปโดยไม่ฝึกเทคนิคที่ถูกต้อง หรือออกแรงมากเกินไปโดยไม่มีพื้นฐาน ทำให้เกิดแรงดันในช่องท้องสูงกว่าปกติ เสี่ยงทำให้ไส้เลื่อนเกิดขึ้นเร็วขึ้นในผู้ที่มีโครงสร้างกล้ามเนื้ออ่อนแออยู่แล้ว
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย :
- เริ่มเล่นเวทหนักทันที โดยไม่สร้างพื้นฐาน
- ทำ Sit-up, Crunch แรงมาก โดยไม่มีเทคนิค
- เล่นกีฬาต่อสู้ได้รับแรงกระแทกที่ท้อง
- ไม่วอร์มอัพก่อนออกกำลังกาย
กีฬาเสี่ยงสูง :
- เพาะกาย ยกน้ำหนัก
- มวย คาราเต้
- รักบี้ อเมริกันฟุตบอล
7. การนั่งหรือยืนในท่าเดิมนาน ๆ
การนั่งหรือยืนนาน ๆ โดยไม่เปลี่ยนท่า อาจทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแรงและระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี
คำแนะนำ :
- ลุกขึ้นเดินหรือเปลี่ยนท่าทุก 30 – 60 นาที
- ฝึกยืดกล้ามเนื้อหน้าท้องและหลังเป็นประจำ
8. พฤติกรรมแฝงอื่น ๆ ที่เพิ่มความดันในช่องท้อง
กิจกรรมเสี่ยง :
- เล่นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าลม เช่น แตร ขลุ่ย แซกโซโฟน
- พูดเสียงดัง ตะโกน ใช้เสียงเป็นประจำ ร้องเพลงเสียงสูง แบบใช้แรงท้อง เช่น ครู นักร้องโอเปร่า
- หัวเราะแรง ๆ บ่อย ๆ แบบเบ่งท้อง

รวมลิสต์อาหารที่กระตุ้นอาการไส้เลื่อนให้แย่ลง
ทำไมอาหารบางชนิดถึงทำให้อาการไส้เลื่อนแย่ลง ? เพราะอาหารบางประเภทสามารถเพิ่มแรงดันในช่องท้องและกระตุ้นให้เกิดอาการปวด แน่นท้อง ท้องอืด หรือกรดไหลย้อนได้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ไส้เลื่อนมีอาการมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีของ “ไส้เลื่อนกระบังลม” ผู้ป่วยมักมีอาการกรดไหลย้อน แสบร้อนกลางอก และแน่นท้อง ซึ่งสามารถถูกกระตุ้นได้จากอาหารบางชนิดไวเป็นพิเศษ
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยไส้เลื่อน
1. อาหารที่ก่อให้เกิดแก๊สในกระเพาะและท้องอืด
อาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดแก๊สในท้องและระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง กรดไหลย้อน และเพิ่มความดันในช่องท้องสูงขึ้น เสี่ยงทำให้ก้อนไส้เลื่อนโป่งออกมากกว่าเดิม
ผักตระกูลกะหล่ำ
- กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก กะหล่ำม่วง กะหล่ำใส
- บรอกโคลี
- ผักกาดขาว ผักกาดแก้ว
ผักตระกูลอื่น ๆ
- หัวหอม หอมแดง กระเทียม
- มะเขือเทศ
- ข้าวโพด มันเทศ เผือก
- พริก กะเพรา โหระพา
พืชตระกูลถั่ว
- ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วแดง ถั่วเหลือง
- ถั่วลันเตา ถั่วแขก
- เต้าหู้ นมถั่วเหลือง
อาหารแปรรูปและอาหารกระป๋อง
- ไส้กรอก เช่น ไส้กรอกหมู ไส้กรอกไก่
- เนื้อแปรรูป เช่น แฮม เบคอน หมูยอ
- อาหารกระป๋อง เช่น ปลากระป๋อง ผลไม้กระป๋อง
- อาหารแช่แข็ง
- บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
เครื่องดื่ม
- น้ำอัดลม โซดา
- น้ำแร่ธรรมชาติ ที่มีฟองเยอะ
- เบียร์และเหล้าแข็ง เช่น วิสกี้ บรั่นดี เหล้าไทย
- ไวน์ โดยเฉพาะไวน์ขาวที่มีกรดสูง
นมและผลิตภัณฑ์จากนม (ในผู้ที่แพ้แลคโตส)
- นมวัวทุกชนิดทั้งแบบสด แบบผง หรือนมปรุงแต่งรส
2. อาหารที่ทำให้ท้องผูก
“อาการท้องผูก” และการเบ่งอุจจาระแรง ๆ เป็นตัวกระตุ้นให้ไส้เลื่อนรุนแรงขึ้นอย่างมาก ดังนั้นจึงควรเลี่ยงอาหารที่ทำให้ย่อยยากที่ทำให้มีอาการท้องผูกได้ง่าย
เนื้อสัตว์แปรรูป
- ไส้กรอก แฮม เบคอน
อาหารที่ทำจากแป้งขัดขาว
- ขนมปังขาว พาสต้า ขนมหวาน
อาหารทอด
- ไก่ทอด เฟรนช์ฟราย
กล้วยดิบ
- มีสารฝาดที่ทำให้ท้องผูกได้
3. อาหารรสจัด เปรี้ยวจัด และเป็นกรด
สำหรับผู้ป่วยไส้เลื่อนที่มักมีอาการกรดไหลย้อนร่วมด้วย ควรหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ เพราะจะไปกระตุ้นการผลิตกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นทำให้รู้สึกแสบร้อนกลางอกหรือปวดท้องมากขึ้นและเพิ่มความดันในช่องท้อง
อาหารหรือแกงรสเผ็ด
- พริก พริกไทย
- แกงส้ม แกงไตปลา แกงกะหรี่
- ต้มยำเผ็ดจัด แกงเผ็ด
- ส้มตำ ยำวุ้นเส้น ลาบ
น้ำจิ้มเผ็ด
- น้ำจิ้มแจ่ว น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกรสชาติจัด ๆ
เครื่องปรุงหรือผลไม้รสเปรี้ยว
- น้ำส้มสายชู
- สับปะรด องุ่น
- มะนาว ส้มเขียวหวาน (มาก ๆ)
- มะเขือเทศ ซอสมะเขือเทศ
เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- ชา เช่น ชาเย็น ชาเขียว
- เครื่องดื่มช็อกโกแลต
- กาแฟ
- เครื่องดื่มชูกำลัง
4. อาหารมันหรือทอดที่ย่อยยากและใช้เวลาย่อยนาน
อาหารไขมันสูงทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนัก ย่อยช้า และเพิ่มแรงดันในช่องท้อง เสี่ยงต่อการกระตุ้นกรดไหลย้อนในผู้ที่มี “ไส้เลื่อนกระบังลม” ทำให้ไอบ่อยและเพิ่มความดันขึ้นกะทันหัน
อาหารทอด
- ไก่ทอด ปลาทอด หมูสามชั้นทอด มันฝรั่งทอด
- อาหารฟาสต์ฟู้ด
อาหารผัดน้ำมันเยอะ
- ผัดไทย ผัดซีอิ๊ว
- ข้าวผัด
เนื้อสัตว์ติดมัน
- หมูสามชั้น เบคอน
- เนื้อส่วนที่มีไขมันสูง เนื้อวัวชิ้นใหญ่
ขนมเบเกอรี่
- เค้ก
- คุกกี้ ขนมปังเนย
- มาการอง เนยแข็ง ครีม
5. เครื่องเทศและสมุนไพรที่อาจระคายเคือง
การบริโภคเครื่องเทศในปริมาณที่มากเกินไป หรือการเลือกเครื่องเทศที่ไม่เหมาะสม อาจส่งผลเสียต่อระบบย่อยอาหารและทำให้เกิดอาการระคายเคือง และกระตุ้นระบบย่อยให้ทำงานหนักในผู้ที่มีภาวะไส้เลื่อน
สมุนไพร
- ขิงแก่ เช่น น้ำขิง ขิงโบราณ
- กระเทียมสด
- โหระพา กะเพรา
เครื่องเทศและพริกแกง
- พริกไทย
- เครื่องแกง เช่น พริกแกงแดง พริกแกงส้ม พริกแกงเขียวหวาน พริกแกงเหลือง
6. ขนมหวานและอาหารที่มีน้ำตาลสูง
เนื่องจากทำให้เกิดการหมักในลำไส้ อาจส่งผลต่อระบบขับถ่ายและเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการท้องผูก ซึ่งอาจทำให้อาการไส้เลื่อนแย่ลงได้ การควบคุมปริมาณน้ำตาลและเลือกอาหารที่มีใยอาหารสูงจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ขนมไทย
- ขนมชั้น ทองหยิบ ทองหยอด ทองม้วน
ช็อกโกแลต
- ช็อกโกแลต ช็อกโกแลตนม
เค้ก ไอศกรีมและลูกกวาด
- เค้กครีม เค้กเนย
- ลูกกวาดแข็ง เจลลี่
7. อาหารและเครื่องดื่มที่ควรงด
นอกจากอาหารข้างต้นแล้ว ยังมีอาหารบางอย่างที่ควรเลี่ยงเด็ดขาดเพื่อบรรเทาอาการไส้เลื่อน
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานหนักขึ้นและอาจกระตุ้นให้เกิดอาการกรดไหลย้อน
- เบียร์ เหล้า ไวน์
ผลิตภัณฑ์นมไขมันสูง
ย่อยยากและเพิ่มความเป็นกรดในระบบทางเดินอาหาร ข้อมูลจาก “Apollo Spectra Health Guide” ระบุว่า อาหารเหล่านี้มีผลต่อการกระตุ้นอาการ “ไส้เลื่อนกระบังลม” โดยตรง
- นมสด ชีส โยเกิร์ตเต็มไขมัน
อาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
ทำให้หูรูดกระเพาะอาหารหย่อนตัว เพิ่มโอกาสกรดไหลย้อน ส่งผลให้ผู้ป่วยไส้เลื่อนกระบังลมมีอาการมากขึ้น
- กาแฟ ชา
- เครื่องดื่มชูกำลัง
อาหารที่แนะนำสำหรับผู้ป่วยไส้เลื่อน
ในทางกลับกัน อาหารที่ควรเน้นคืออาหารที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ไม่ทำให้ท้องผูก และไม่กระตุ้นให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร
1. อาหารที่ย่อยง่ายและลดอาการท้องผูก
- ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต
- ขนมปังโฮลวีต พาสต้าโฮลเกรน
- ปลาต้ม ไก่ต้ม (ไม่ติดมัน)
- ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น
- เต้าหู้นุ่ม (ปริมาณน้อย)
2. อาหารที่อุดมด้วยวิตามินและแคลเซียม
- ผักใบเขียว เช่น บรอกโคลี ผักโขม ผักบุ้งลวก ผักคะน้าลวก
- แครอทต้ม ฟักทองต้ม
- มะระขาว (ต้มอ่อน ๆ)
3. อาหารที่ลดการผลิตกรด
- ผลไม้ที่ไม่เปรี้ยว เช่น กล้วย แอปเปิ้ล
4. อาหารที่ย่อยง่ายและไม่กระตุ้นกรด
- นมพร่องมันเนย โยเกิร์ตไขมันต่ำ
5. อาหารที่ลดไขมันและแรงดันในช่องท้อง
- ของอบหรือย่างแทนของทอด
- ผักใบเขียว เช่น บรอกโคลี ผักโขม ผักบุ้งลวก ผักคะน้าลวก
- ผลไม้สด เช่น แอปเปิ้ล ลูกแพร์
6. เครื่องดื่มที่ดีต่อร่างกาย
- น้ำเปล่าปกติ (ไม่เย็นจัด) ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 – 10 แก้ว
- น้ำอุ่น ช่วยย่อยอาหาร
- ชาอ่อน ๆ ไม่ใส่น้ำตาล
- น้ำผลไม้จาง ๆ ไม่เปรี้ยวจัด
คำแนะนำการกินอาหาร
1. กินมื้อเล็ก ๆ วันละ 4 – 6 มื้อ เพื่อไม่ให้ท้องอืดและหลีกเลี่ยงการกินอิ่มจัดจนเกินไป
2. เลี่ยงการนอนทันทีหลังกินอาหาร ควรรออย่างน้อย 2 – 3 ชั่วโมง
3. ดื่มน้ำระหว่างมื้อให้เพียงพอเพื่อป้องกันท้องผูก แต่ไม่ควรดื่มมากระหว่างมื้อ
4. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ลดแรงดันในกระเพาะ และช่วยให้ย่อยง่ายขึ้น
5. ทานอาหารมื้อหลัก ก่อนเวลา 18:00 น.
6. ทานของว่าง หลังทานอาหารมื้อหลัก 2 ชั่วโมง
ไส้เลื่อนถ้าปล่อยเอาไว้ ไม่ผ่าตัดจะเป็นอันตรายไหม
ในระยะเริ่มต้น ไส้เลื่อนอาจไม่มีอาการเจ็บปวดมาก แค่รู้สึกมีก้อนนูนที่สามารถดันกลับได้ในตอนแรก แต่ไม่ได้หมายความว่าผนังหน้าท้องจะแข็งแรงขึ้น ตรงกันข้ามผนังส่วนที่อ่อนแอจะยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นตามกาลเวลา ทำให้ไส้เลื่อนมีขนาดใหญ่ขึ้นได้ง่ายขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความอันตรายที่แท้จริง เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่ผ่าตัดยิ่งนานความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นและสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิตได้
อาการเตือนว่าต้องพบแพทย์ทันที
- ก้อนไส้เลื่อนแข็ง มีอาการเจ็บมาก และเมื่อกดลงไปไม่สามารถดันกลับหรือยุบเหมือนที่ผ่านมา
- มีอาการปวดท้องรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้หรืออาเจียน
- มีอาการท้องอืดมาก ไม่สามารถถ่ายอุจจาระหรือผายลมได้
- มีอาการไข้หรือผิวหนังบริเวณก้อนไส้เลื่อนเปลี่ยนสี
หากไม่ผ่าตัดจะเกิดอะไรขึ้น ?
ความอันตรายหลักของไส้เลื่อนที่ปล่อยทิ้งไว้ คือการเกิดภาวะที่เรียกว่า “ไส้เลื่อนติดคา” (Incarcerated Hernia) และ “ไส้เลื่อนขาดเลือด” (Strangulated Hernia) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
1. ไส้เลื่อนติดคา (Incarcerated Hernia)
- ก้อนไส้เลื่อนปูดออกมาและไม่สามารถดันกลับเข้าไปในช่องท้องได้อีกต่อไป
- ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดอย่างรุนแรง บวม และแน่นท้องเสี่ยงต่อการอักเสบ
- ก้อนไส้เลื่อนจะแข็งและตึงขึ้น
2. ไส้เลื่อนขาดเลือดหรือไส้เลื่อนรัดคอ (Strangulated Hernia)
นี่คือภาวะที่อันตรายที่สุด เมื่อไส้เลื่อนติดคาอยู่เป็นเวลานาน ผนังช่องโหว่จะไปบีบรัดเส้นเลือดที่มาเลี้ยงอวัยวะส่วนที่เลื่อนออกมา ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนได้สะดวก ส่งผลให้เนื้อเยื่อในส่วนนั้น “ตาย” หรือ “เน่า” ได้
- การไหลเวียนของเลือดไปยังลำไส้ถูกตัดขาด เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงลำไส้ในส่วนที่ถูกดันออกมา ทำให้เนื้อตาย
- มักมีอาการร่วมที่รุนแรง เช่น ปวดท้องรุนแรง มีไข้ คลื่นไส้อาเจียน ท้องอืด ไม่ถ่ายอุจจาระหรือผายลม ก้อนแข็งและเจ็บมาก
- เสี่ยงต่อการเน่าของลำไส้ ต้องผ่าตัดฉุกเฉิน หากไม่รักษาอย่างเร่งด่วนอาจเสียชีวิตได้
- เป็นภาวะฉุกเฉินที่อันตรายที่สุด อาจนำไปสู่การติดเชื้อในช่องท้อง (Peritonitis) และกระแสเลือดซึ่งอันตรายถึงชีวิต
- การรักษาภาวะนี้คือการ ผ่าตัดฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขภาวะบีบรัดและนำเนื้อเยื่อที่ตายแล้วออก ซึ่งจะมีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนสูงกว่าการผ่าตัดปกติ
3. อาการเรื้อรัง
- ปวดท้องเรื้อรัง
- แน่นท้องหลังมื้ออาหารเสมอ
- กรดไหลย้อนในกรณีไส้เลื่อนกระบังลม
ใครเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนจากไส้เลื่อนมากที่สุด
- ผู้ที่มีก้อนไส้เลื่อนมานานและขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
- ผู้ที่ทำงานยกของหนักหรือออกแรงกดท้องบ่อย
- ผู้สูงอายุที่กล้ามเนื้อผนังช่องท้องอ่อนแรง
- ผู้ที่มีไอเรื้อรังหรือท้องผูกบ่อย
ไส้เลื่อนต้องผ่าตัดไหม ?
การรักษาไส้เลื่อนขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรง หากไม่มีอาการหรือเป็นไส้เลื่อนขนาดเล็ก แพทย์อาจแนะนำให้เฝ้าระวัง แต่หากมีอาการปวด บวม หรือเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน การผ่าตัดจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด แต่ในปัจจุบัน “การรักษาโรคไส้เลื่อน” ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุดคือ “การผ่าตัด” โดยการผ่าตัดจะช่วยซ่อมแซมผนังหน้าท้องที่อ่อนแอให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้ไส้เลื่อนกลับมาเป็นซ้ำได้อีก
ทำไมแพทย์มักแนะนำให้ผ่าตัดไส้เลื่อน
การผ่าตัดไส้เลื่อน เป็นวิธีรักษาที่ได้ผลถาวร สามารถป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน มี 2 วิธีหลัก คือ
- ผ่าตัดแบบเปิด (Open Surgery) : เหมาะกับไส้เลื่อนขนาดใหญ่หรือมีภาวะแทรกซ้อน เป็นวิธีดั้งเดิมที่แพทย์จะผ่าตัดเปิดแผลบริเวณไส้เลื่อนเพื่อดันอวัยวะกลับเข้าที่เดิมและเย็บซ่อมแซมผนังหน้าท้อง
- ผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) : เป็นการผ่าตัดที่ทันสมัยกว่า โดยแพทย์จะเจาะรูเล็ก ๆ หลายรูเพื่อสอดกล้องและเครื่องมือเข้าไปทำการผ่าตัด ซึ่งจะช่วยลดขนาดของแผล ลดอาการเจ็บปวด และทำให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่า
พบอาการผิดปกติที่สงสัยว่าเป็นไส้เลื่อน อย่าปล่อยไว้! เลือก ปรึกษาแพทย์ฟรี ตอนนี้
หากท่านมีความกังวลหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคไส้เลื่อน ที่ศูนย์ให้คำแนะนำการผ่าตัดส่องกล้อง MSC Healthcare มีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางพร้อมให้คำปรึกษา เพื่อให้ท่านได้รับการวินิจฉัยโรคเบื้องต้นผ่านทางระบบ Telemed Service ที่รวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวนาน ช่วยให้ทราบถึงแนวทางในการรักษาที่เหมาะสมกับภาวะของโรค และให้ผู้ป่วยได้เตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับการรักษาได้มากที่สุด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายได้ที่
โทร : 065-509-4459
Line : @msc.healthcare