“โควิด-19” ไม่แผ่วส่งท้ายปี! เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในวงการสาธารณสุข กับโควิดสายพันธุ์ใหม่ “XFG” หรือ “สเตรตัส (Stratus)” ได้กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้งและถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากองค์กรอนามัยโลก (WHO) และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ของไทย ที่จำนวนผู้ป่วยกำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลกและพบในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง (อ้างอิงข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ณ เดือน ก.ย. 2568) โดยล่าสุดพบในไทยแล้ว 33 ราย แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง แต่การระบาดแพร่กระจายได้เร็ว ทำให้ทุกคนต้องเตรียมพร้อมและเข้าใจโรคนี้ให้มากขึ้น

โควิด-19 “สายพันธุ์ใหม่ XFG” คืออะไร ?

“โควิดสายพันธุ์ XFG” หรือ ชื่อทางการว่า “Stratus” เป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน ไม่ใช่สายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ แต่เป็นการผสมพันธุ์ของสายพันธุ์ย่อยที่เรารู้จักอยู่แล้ว โดยกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยระบุว่าสายพันธุ์ที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ต้องจับตามองเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์เดลต้าในอดีต

จุดเด่นของโควิดสายพันธุ์ XFG

  • แพร่กระจายได้รวดเร็ว : มีแนวโน้มในการติดต่อและแพร่เชื้อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดี : สามารถหลบเลี่ยงการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ที่ได้รับจากการฉีดวัคซีน หรือ การติดเชื้อครั้งก่อนได้ดีกว่าเดิม

สถานการณ์ในประเทศไทย

ในประเทศไทยตรวจพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้ครั้งแรก เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 และมีแนวโน้มแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง โดยพบผู้ติดเชื้อสะสมแล้ว 34 ราย

แม้ “โควิดสายพันธุ์ XFG” จะแพร่กระจายเร็ว แต่ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่าทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่น โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรงและยังไม่มีรายงานการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน

อาการเบื้องต้นเมื่อได้รับเชื้อ “สายพันธุ์ใหม่ XFG”

อาการทั่วไปของโควิดสายพันธุ์ XFG

  • ไข้หรือหนาวสั่น : สูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส
  • ไอ : ทั้งไอแห้งและไอมีเสมหะ
  • เจ็บคอ : รู้สึกเจ็บเวลากลืน
  • น้ำมูกไหล : คล้ายอาการหวัดทั่วไป
  • ปวดศีรษะ : ปวดศีรษะรุนแรงกว่าปกติ
  • ปวดเมื่อยตามตัว : เหนื่อยล้าง่าย อ่อนเพลีย อาจมีอาการอื่นร่วม เช่น เจ็บกล้ามเนื้อ

อาการเพิ่มเติมที่อาจพบ

  • สูญเสียการรับรสหรือได้กลิ่น (พบน้อยกว่าสายพันธุ์เดิม)
  • ท้องเสีย
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ผื่นผิวหนัง (ในบางราย)

ความรุนแรงของอาการ

ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการคล้ายกับโควิดสายพันธุ์โอมิครอนทั่วไป แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ ความสามารถในการแพร่เชื้อได้เร็ว ทำให้มีโอกาสเกิดการระบาดในวงกว้างหากไม่ควบคุมอย่างทันท่วงที

อาการแบบนี้ควรพบแพทย์

สัญญาณเตือนที่ต้องรีบไปโรงพยาบาล

  • อาการอ่อนเพลีย : ซึมลงอย่างรวดเร็ว หรือ ไม่สามารถตื่นตัวได้ตามปกติ
  • อาการปวดท้อง : ท้องเสียอย่างรุนแรงร่วมด้วย
  • อาการไอ : ร่วมกับเจ็บหน้าอกหรือหอบเหนื่อย
  • ไข้สูง : เกิน 39 องศาเซลเซียส และไข้ไม่ลดลงติดต่อกันเกิน 24 – 48 ชั่วโมง หรือ อาการไม่ดีขึ้นหลังจากพักผ่อนและรักษาตัวเบื้องต้น
  • หายใจลำบาก : หายใจถี่ หอบเหนื่อย หายใจไม่สะดวก แม้ในขณะพัก หรือ หายใจเร็วกว่า 30 ครั้ง / นาที
  • ออกซิเจนในเลือดต่ำ : ต่ำกว่า 95% (วัดด้วยเครื่อง Pulse Oximeter)
  • เจ็บหน้าอกรุนแรง : กดหน้าอกแล้วเจ็บมาก แน่นหน้าอก
  • มึนงง สับสน : พูดจาไม่รู้เรื่อง หรือ มีอาการทางสมอง
  • ริมฝีปากหรือใบหน้าเขียว : เป็นสัญญาณขาดออกซิเจน
  • เบื่ออาหาร : กินอาหารไม่ได้

กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังเป็นพิเศษ

  • ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เด็กเล็ก และผู้มีโรคเรื้อรัง ควรได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
  • ผู้ที่มีโรคร่วม เช่น โรคหอบหืด โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน โรคไต โรคปอดเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันต่ำ ฯลฯ
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนเลย
  • หญิงตั้งครรภ์

แม้ว่า โควิด19 สายพันธุ์ใหม่ XFG จะมีอาการส่วนใหญ่ไม่รุนแรง แต่สำหรับกลุ่มเสี่ยงและผู้ที่มีอาการที่เข้าข่ายรุนแรง ควรต้องรีบเข้ารับการปรึกษาและรักษาจากแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

วิธีการป้องกันตนเองเบื้องต้น

การป้องกันตนเองและผู้อื่นยังจำเป็นยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แม้ว่า โควิดสายพันธุ์ XFG จะไม่รุนแรง แต่การป้องกันยังคงเป็นมาตรการที่ดีที่สุดในการรับมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่คาดการณ์ว่าอาจมีการระบาดเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลท้ายปี 2025 ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่จะต้องเดินทางและมีการรวมกลุ่มกันมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการแพร่กระจายไปยังคนในครอบครัว

การป้องกันพื้นฐาน

  • สวมหน้ากากอนามัย : ควรกลับมาสวมหน้ากากในที่แออัดอย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อต้องคลุกคลีกับผู้อื่นในระยะใกล้ เช่น ห้างสรรพสินค้า รถโดยสารสาธารณะ โรงพยาบาล งานเลี้ยง ฯลฯ
  • ล้างมือบ่อย ๆ : ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์เป็นประจำ อย่างน้อย 20 วินาที เช่น หลังจากสัมผัสพื้นผิวสาธารณะ ก่อนรับประทานอาหาร หลังจากไอ-จาม ก่อนสัมผัสใบหน้า และหลังสัมผัสพื้นผิวต่าง ๆ
  • หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด : หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด ลดการเดินทางหรือการรวมตัวในสถานที่ที่มีคนหนาแน่น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปลายปี หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรเว้นระยะห่างให้มากที่สุด
  • ระบายอากาศให้ดี : เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท หลีกเลี่ยงห้องปิด ห้องแอร์ที่มีคนแออัด
  • ตรวจ ATK : หากมีอาการคล้ายไข้หวัด หรือสงสัยว่าสัมผัสเชื้อ ควรตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจ ATK ทันที หากผลเป็นบวก ควรกักตัวและแยกตัวออกจากผู้อื่นเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

การฉีดวัคซีน

ในปี 2568 การรับวัคซีนเข็มกระตุ้นตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ยังคงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของอาการรุนแรงและการเสียชีวิต โดยเฉพาะวัคซีนรุ่นใหม่ที่ครอบคลุมสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน แม้เชื้อจะมีการกลายพันธุ์ แต่ภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นยังช่วยป้องกันความเสียหายต่อปอดได้

ข้อแนะนำเรื่องวัคซีน :

  • ผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยงควรรับเข็มกระตุ้นตามคำแนะนำของแพทย์
  • วัคซีนช่วยลดความรุนแรงของโรคได้มาก แม้จะไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ 100%

การดูแลตนเองเมื่อมีอาการ

  • แยกตัวจากผู้อื่นทันที
  • สวมหน้ากากเมื่ออยู่กับคนอื่น
  • ตรวจ ATK เพื่อยืนยัน
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ดื่มน้ำเยอะ ๆ
  • ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

“โควิดสายพันธุ์ XFG” แม้จะแพร่เร็วแต่ไม่รุนแรง แต่เราก็ไม่ควรประมาท การป้องกันตนเองและคนรอบข้างยังคงเป็นสิ่งสำคัญ หากมีอาการควรพบแพทย์ทันที

ดังนั้นอย่าตื่นตระหนก แต่ต้องระมัดระวังและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด ดูแลสุขภาพตัวเองและคนที่รักให้ดี เพื่อเราจะได้ผ่านช่วงเทศกาลปลายปีนี้ไปด้วยกันอย่างปลอดภัยนะคะ