
ข้อมูลสถิติล่าสุด เผยว่า “มะเร็งลำไส้ใหญ่” (Colorectal Cancer) คือ ภัยร้ายอันดับ 1 ของผู้ชายและอันดับ 3️ ของผู้หญิง อ้างอิงสถิติจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ปี 2568 มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 15 คน ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 44 คน ร้อยละ 13.3 ของคนไทย ป่วยเป็นโรคมะเร็งชนิดนี้ ทำให้กลายเป็นโรคมะเร็งที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ในประเทศไทย มีสถิติผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกปี โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
ปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในผู้ชายและผู้หญิง โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันแนวโน้มอายุกลับลดลงเรื่อย ๆ เนื่องจากพฤติกรรมการกินและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป
มะเร็งลำไส้เกิดจากอะไร
เกิดจากหลายปัจจัยที่สะสมมาเป็นเวลานาน โดยส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุภายในลำไส้ใหญ่หรือลำไส้ตรง ซึ่งอาจเริ่มจากติ่งเนื้อในลำไส้ (Polyp) ที่กลายพันธุ์และพัฒนาเป็นเซลล์ก้อนเนื้อร้าย จนในที่สุดพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็ง ปัจจัยเสี่ยงหลัก ๆ ที่มีส่วนกระตุ้นการเกิดโรค มีดังนี้
- พันธุกรรม
โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้หรือมีติ่งเนื้อในลำไส้ (Polyps) ทำให้มีโอกาสเป็นสูงกว่าคนทั่วไป 2 – 3 เท่า
- อายุที่เพิ่มขึ้น
ส่วนใหญ่พบในผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปี แต่ปัจจุบันพบว่าคนหนุ่มสาวเป็นโรคมะเร็งลำไส้เพิ่มขึ้น
- พฤติกรรมการกิน
การกินอาหารแปรรูป อาหารเนื้อแดง อาหารที่มีไขมันสูง และมีใยอาหารน้อย ยิ่งบริโภคในปริมาณมาก ๆ จะเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น เพราะในอาหารเหล่านี้ มีสารไนเตรทที่เป็นสารก่อมะเร็งอยู่
- การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมากขึ้น เช่น แอลกอฮอล์สามารถทำลายเยื่อบุลำไส้และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ได้ รวมไปถึงสารพิษในบุหรี่ เช่น นิโคตินและทาร์ สามารถทำลาย DNA และเพิ่มอัตราการเกิดและเจริญเติบโตขึ้นของเนื้องอกได้ส่งผลให้ระยะยาวเกิดเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
“ร้อยละ 12 ของผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้ มักมีประวัติการสูบบุหรี่”
- ความอ้วน
ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติ เสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้มากกว่าคนปกติ ถึง 30 – 70%
- โรคต่าง ๆ เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD)
โรคลำไส้อักเสบอาจมาจากพันธุกรรม มีการอักเสบบริเวณทางเดินอาหาร เกิดจากการที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติคิดว่าลำไส้เป็นสิ่งแปลกปลอมจึงพยายามจะทำลาย พบได้ทั้งในเพศชายและหญิงในสัดส่วนใกล้เคียงกัน โดยส่วนใหญ่จะมีอาการ ดังนี้
- ท้องเสีย ถ่ายวันละหลายรอบ
- ปวดเกร็งช่องท้อง
- ถ่ายเป็นมูกหรือเลือด ทำให้เกิดการอักเสบ มีแผล
- มีเลือดออกในลำไส้รวมถึงอาจมีการติดเชื้อซ้ำเติม
- ภาวะโลหิตจาง
- ลำไส้ตีบตันเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ 2 – 20 เท่า
- สิ่งแวดล้อม
สารเคมีบางชนิด มลพิษในอากาศ การสัมผัสสารก่อมะเร็งในที่ทำงาน เช่น
- ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons, PAHs)
เกิดจากทำอาหารประเภทปิ้งย่าง รวมไปถึงการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ผ่านความร้อนมาก ๆ เป็นเวลานาน มีผลให้ร่างกายได้รับสารพิษสะสม
- อะคริลาไมด์ (Acrylamide)
พบในอาหารทอดหรืออาหารที่ผ่านความร้อนสูง โดยเฉพาะในอาหารประเภท Junk Food เช่น เฟรนช์ฟรายส์ และมันฝรั่งทอดกรอบ จะส่งผลกระทบมากขึ้นหากน้ำมันที่ใช้ทอดเป็นน้ำมันเก่าที่นำกลับมาทอดซ้ำ
- ไนเตรต (Nitrate)
พบในอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน กุนเชียง หรือลูกชิ้น สารเหล่านี้ถูกเติมในอาหารเพื่อรักษาสีและยืดอายุการเก็บรักษา ถ้ากินในปริมาณมาก ๆ หรือบ่อย ๆ ยิ่งเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมากขึ้น
- ออร์กาโนฟอสเฟต (Organophosphate)
สารเคมีกลุ่มยาฆ่าแมลงที่ใช้ในการเกษตรที่อาจตกค้างอยู่ในผักผลไม้ลด ควรเลือกบริโภคผักผลไม้ออร์แกนิกที่ปลอดจากสารเคมี หรือมีการล้างผลไม้ที่ถูกวิธีเพิ่มเติม
- ฟอร์มัลดีไฮด์ (Formaldehyde)
พบในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเมื่อบริโภคแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ที่ส่งผลเสียต่ออวัยวะอื่น ๆ ในระบบทางเดินอาหาร รวมถึงทำให้ลำไส้อักเสบและเพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่อีกด้วย
- การมีประวัติเป็นมะเร็งลำไส้ตรงหรือมะเร็งอื่น ๆ ก่อนหน้านี้
“การติดเชื้อ แบคทีเรีย H. pylori เป็นการเริ่มต้นที่อาจพัฒนาเป็นมะเร็งได้”

มะเร็งลำไส้อาการ
“มะเร็งลำไส้” อาการในระยะแรก มักไม่มีอาการหรือมีอาการคล้ายโรคทั่วไป มักจะไม่แสดงอาการที่ชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองกำลังเผชิญกับโรคนี้อยู่ กว่าจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อโรคเข้าสู่ระยะที่ลุกลามแล้ว “สัญญาณมะเร็งลำไส้ระยะแรก” ควรสังเกตการเปลี่ยนแปลงของการขับถ่ายและควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย โดยมีสัญญาณ ดังนี้
- การขับถ่ายเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ท้องเสียสลับท้องผูก หรืออุจจาระลำเล็กลง
- เลือดออกทางทวารหนัก มีเลือดหรือเมือกปนในอุจจาระ
- อุจจาระมีสีดำหรือสีแดงเข้ม
- ปวดท้องผิดปกติ หรือไม่สบายท้องอย่างต่อเนื่อง เช่น แน่นท้อง มีแก๊สในกระเพาะมาก
- รู้สึกว่าขับถ่ายไม่หมด
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หรือซีดจางจากภาวะโลหิตจาง
- น้ำหนักลด เบื่ออาหารโดยไม่ทราบสาเหตุ
มะเร็งลําไส้ ระยะ 1
เซลล์มะเร็งอยู่ในระยะเติบโตขึ้นและยังอยู่ในผนังลำไส้ เริ่มฝังในชั้นผนังของลำไส้ใหญ่และทวารหนัก แต่ยังไม่กระจายไปสู่เนื้อเยื่อข้างเคียงหรือต่อมน้ำเหลือง สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดแบบหวังหาย (Curative Resection) มีโอกาสหาย 95% เป็นการผ่าตัดเพื่อตัดเอามะเร็งบางส่วน เลาะต่อมน้ำเหลืองออกไป และนำส่วนที่ดีมาต่อกัน
มะเร็งลําไส้ ระยะ 2
มะเร็งได้เกิดการลุกลามออกนอกผนังลำไส้ใหญ่ในบริเวณใกล้เคียง เติบโตขึ้นจนถึงชั้นนอกสุดของลำไส้ใหญ่หรือทวารหนัก แต่ยังไม่กระจายถึงต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง หรือตำแหน่งอื่น ๆ สามารถใช้การผ่าตัดแบบหวังหาย (Curative resection) เป็นการรักษาหลักเช่นเดียวกับระยะที่ 1 มีโอกาสหายขาด 80%
มะเร็งลําไส้ ระยะ 3
มะเร็งมีการเติบโตลุกลามผ่านผนังของลำไส้ใหญ่หรือทวารหนักไปยังต่อมน้ำเหลือง แต่ยังไม่ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ทำให้มีอาการปวดท้องมากขึ้น อาจมีอาการจากการอุดตันของลำไส้ เช่น ปวดท้องรุนแรง ขับลมไม่ออก ขับถ่ายไม่ได้ สามารถรักษาโดยการผ่าตัดแบบหวังหาย (Curative resection) ร่วมกับเคมีบำบัดหลังผ่าตัดได้ มีโอกาสหายขาด 60%
มะเร็งลําไส้ ระยะที่ 4
อาการที่รุนแรงขึ้นจะรวมถึง น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่อน้อยใจ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ท้องป่อง อุจจาระเป็นเส้นเล็กกว่าปกติ มะเร็งแพร่กระจายลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น ตับ ปอด แพทย์จะทำการผ่าตัดมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่หรือทวารหนักออก พร้อมผ่าตัดมะเร็งที่ลุกลามออกด้วย แล้วให้ยาเคมีบำบัดต่อไป แต่หากไม่สามารถผ่าตัดเอาออกให้หมดได้ จะมีชีวิตอยู่เพียง 1-2 ปี เท่านั้น
มะเร็งลําไส้ระยะสุดท้าย อาการก่อนเสียชีวิต
มักจะมีอาการที่รุนแรงขึ้น เช่น ปวดท้องรุนแรง มีเลือดออกมากผิดปกติ อ่อนเพลีย จนไม่สามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ และมีอาการของมะเร็งที่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น ปวดกระดูก (ถ้ากระจายไปที่กระดูก) หรือหายใจลำบาก (ถ้ากระจายไปที่ปอด)

อาหารก็มีส่วนกระตุ้นมะเร็งลำไส้ใหญ่
อาหารที่เพิ่มความเสี่ยง
- เนื้อแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแกะ โดยเฉพาะการที่กินมากกว่า 500 กรัม / สัปดาห์
- เนื้อแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ แฮม เบคอน ที่มีสารกันบูดและสารเคมีที่อาจก่อมะเร็ง
- อาหารทอด อาหารมันจัด และไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวและไขมันจากสัตว์
- อาหารที่มีใยอาหารต่ำ เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว
- อาหารรมควัน เนื้อย่าง ปิ้ง หมูกระทะ ชาบู ทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง เช่น PAH และ HCA
- อาหารหมักดองและอาหารสำเร็จรูปในกระป๋อง
- แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะการดื่มเป็นประจำ
อาหารที่ช่วยป้องกัน
- ผักผลไม้ที่มีกากใยสูง ช่วยทำความสะอาดลำไส้และลดเวลาสัมผัสกับสารก่อมะเร็ง
- ธัญพืชไม่ขัดสี ธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ถั่วต่าง ๆ
- ปลาและอาหารที่มีโอเมก้า 3 สูง
- ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น บรอกโคลี กะหล่ำปลี ผักกาดขาว
- ผลไม้ที่มีวิตามิน C และสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ส้ม มะเขือเทศ
- ชา โดยเฉพาะชาเขียวที่มีสาร EGCG
- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ
- กินอาหารที่มีโปรไบโอติกส์ เช่น โยเกิร์ต
การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้
- การตรวจหาเลือดในอุจจาระ (FOBT – Fecal Occult Blood Test / FIT – Fecal Immunochemical Test)
เป็นการตรวจเบื้องต้นที่สะดวกและไม่ยุ่งยาก ไม่เจ็บปวด ทำที่บ้านได้ คือ การเก็บตัวอย่างอุจจาระโดยจะต้องเก็บจากการขับถ่าย 3 ครั้งในวันที่ต่างกัน ในผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไป หรือคนที่มีความเสี่ยงสูง ควรตรวจทุก 1 – 2 ปี
- การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy)
เป็นมาตรฐานทองคำที่แม่นยำที่สุดในการตรวจหาและวินิจฉัย สามารถดูภายในลำไส้ได้โดยตรง ตัดโพลิป (Polyp) หรือติ่งเนื้อที่อาจกลายเป็นมะเร็งได้ในขณะเดียวกัน และเก็บเนื้อเยื่อไปตรวจได้ ควรตรวจทุก 3 – 5 ปี หรือตามคำแนะนำของแพทย์
อ่านบทความที่น่าสนใจ : การส่องกล้องระบบทางเดินอาหารมีกี่แบบ อาการแบบไหนที่ควรส่อง?
- การส่องกล้องลำไส้ตรงแบบยืดหยุ่น (Flexible Sigmoidoscopy)
เป็นการตรวจภายในลำไส้โดยการส่องกล้องเข้าไป สำหรับผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบขับถ่ายและตรวจมะเร็งแรกเริ่มได้อีกด้วย ตรวจได้เพียงส่วนล่างของลำไส้ใหญ่ สามารถตรวจหาการอักเสบของโพลิป (Polyp) แผล และเนื้องอกได้
- การถ่ายภาพลำไส้ด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Colonography)
เป็นการใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) สร้างภาพสามมิติของลำไส้ใหญ่และทวารหนัก เพื่อดูความผิดปกติในลำไส้ เช่น ติ่งเนื้อ (Polyp) หรือมะเร็ง โดยไม่ต้องใส่ท่อส่องกล้องเข้าไปในลำไส้ใหญ่จริง
- การตรวจ DNA ในอุจจาระ (Stool DNA Test)
เป็นการตรวจที่สามารถตรวจหาการเปลี่ยนแปลงของ DNA ที่บ่งชี้การเกิดมะเร็งได้ การเลือกวิธีตรวจขึ้นอยู่กับอายุ ปัจจัยเสี่ยง ความพร้อมของผู้ป่วย และคำแนะนำของแพทย์
หากมีค่า Positive คือ มีความเกี่ยวข้องกับมะเร็งลำไส้มากกว่าคนปกติทั่วไป แนะนำให้เข้ารับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) เพื่อตรวจสอบระยะของโรค แต่หากพบค่าอยู่ในช่วง Negative คือ มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ไม่ต่างจากประชากรทั่วไป แนะนำให้ดูแลสุขภาพและทำการทดสอบซ้ำอีกครั้งทุก ๆ 3 ปี
แพทย์มักแนะนำให้เริ่มตรวจเมื่ออายุ 45 ปีขึ้นไปหรือเร็วกว่านั้น หากมีประวัติครอบครัวเป็น “มะเร็งลำไส้ใหญ่”
“ผู้ที่ควรเริ่มตรวจคัดกรองก่อน 50 ปี ได้แก่ ผู้ที่มีญาติใกล้ชิดเป็นมะเร็งลำไส้ ผู้ที่มีโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง”

มะเร็งลำไส้ระยะไหนรักษาหาย ?
การแบ่งระยะของมะเร็งลำไส้ แบ่งเป็น 4 ระยะ โดยพิจารณาจากขนาดของเนื้องอก การลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง และการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้วสามารถรักษาหายได้ ถ้าตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก
- ระยะที่ 0 และ 1 มะเร็งอยู่ที่ชั้นในสุดของผนังลำไส้ ก้อนมะเร็งยังอยู่ในผนังลำไส้ ยังไม่ลุกลามผ่านกล้ามเนื้อ สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดตัดเฉพาะก้อนเนื้อมะเร็งออกไป โอกาสรักษาหายประมาณ 90 – 95%
- ระยะที่ 2 มะเร็งลุกลามผ่านและออกนอกผนังลำไส้ แต่ยังไม่ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง โอกาสรักษาหายประมาณ 70 – 85%
“ระยะที่ 1 – 2 มีโอกาสหายขาดสูง หากได้รับการผ่าตัดและติดตามผลอย่างใกล้ชิด”
- ระยะที่ 3 มะเร็งลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง แต่ยังไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น การรักษาในระยะนี้ยังมีโอกาสหายสูง แต่ต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน บางกรณี ต้องใช้การผ่าตัดแบบหวังหาย (Curative resection) ร่วมกับเคมีบำบัด โอกาสรักษาหายประมาณ 40 – 70%
- ระยะที่ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น ตับ ปอด ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายที่รักษาไม่หายขาด แต่สามารถใช้การรักษาแบบประคับประคองเพื่อยืดอายุและเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยได้
ปัจจัยที่มีผลต่อการรักษา มีดังนี้
- ตำแหน่งของมะเร็ง
- ชนิดของเซลล์มะเร็ง
- อายุและสภาวะสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย
- การตอบสนองต่อการรักษา
- การดูแลตนเองของผู้ป่วย
การรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงทีเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในระยะแรกที่มีโอกาสรักษาหายได้สูง การตรวจคัดกรองสม่ำเสมอจึงมีความสำคัญมาก เพื่อสามารถพบและรักษาได้เร็วในระยะแรก
การรักษามะเร็งลำไส้มีแบบไหนบ้าง ?
การรักษามะเร็งลำไส้มีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ตำแหน่ง และสภาวะของผู้ป่วย การรักษาหลักจะเป็นการรวมกันของหลายวิธี โดยมีวิธีหลัก ๆ ดังนี้
- การผ่าตัด (Surgery)
เป็นการรักษาหลักในมะเร็งลำไส้ระยะเริ่มต้น โดยจะตัดส่วนที่เป็นมะเร็งและต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงออก เป็นการผ่าตัดแบบเปิดท้องหรือการผ่าตัดแบบกล้อง (Laparoscopic) โดยเปิดแผลเล็ก 0.5 – 1 ซม. เพื่อสอดกล้องและเครื่องมือเข้าไปในช่องท้อง และตัดลำไส้ส่วนที่เป็นมะเร็งพร้อมกับต่อมน้ำเหลืองในบริเวณที่เป็นมะเร็งออก
- เคมีบำบัด (Chemotherapy)
เป็นการรักษาที่ใช้ในมะเร็งระยะที่ 3 และ 4 เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่ อาจใช้ก่อนผ่าตัดแบบหวังหาย (Curative Resection) เพื่อลดขนาดของมะเร็งหรือหลังผ่าตัดเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งที่ยังหลงเหลืออยู่
- รังสีรักษา (Radiation Therapy)
เป็นการรักษาที่ใช้รังสีพลังงานสูงฆ่าเซลล์มะเร็ง มักใช้ร่วมกับเคมีบำบัด โดยเฉพาะในมะเร็งลำไส้ตรง โดยกลุ่มที่ได้รับการรังสีจะมีอัตราการอยู่รอดที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ แม้ในการรักษานี้ไม่ได้คาดหวังการอยู่รอดเป็นหลัก แต่สามารถใช้การรักษาแบบประคับประคองเพื่อยืดอายุและเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยได้ในช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่
- ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)
เป็นการรักษาที่ใช้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต่อสู้กับมะเร็ง เหมาะสำหรับมะเร็งบางชนิด การรักษาแบบประคับประคอง (Palliative care) มุ่งเน้นการลดอาการและเพิ่มคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะในผู้ป่วยระยะสุดท้าย
รักษาหายขาดหรือกลับมาเป็นซ้ำ ?
หลังจากรักษามะเร็งลำไส้แล้ว ผู้ป่วยและญาติมักกังวลว่าจะหายขาดหรือกลับมาเป็นซ้ำ แม้ผู้ป่วยจำนวนมากรักษาแล้วหาย แต่ก็ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ปรับพฤติกรรมเสี่ยง ความจริงแล้วขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้
โอกาสที่จะหายขาด
- โอกาสหายขาดสูงที่สุด ในระยะที่ 1 – 2 โดยเฉพาะกรณีที่ตรวจพบและรักษาเร็ว ผู้ป่วยระยะที่ 1 มีโอกาสรอดชีวิต 5 ปี ประมาณ 90 – 95%
- โอกาสที่จะกลับเป็นซ้ำสูงที่สุด ในช่วง 2 – 3 ปีแรก หลังการรักษา ประมาณ 80% ของการกลับเป็นจะเกิดขึ้นในช่วงนี้
อวัยวะที่มักกลับเป็น
- ตับ 50 – 70%
- ปอด 10 – 20%
- ช่องท้อง
- ต่อมน้ำเหลือง ลำไส้เดิม หรือบริเวณที่เคยผ่าตัด
ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการกลับเป็น
- ระยะของโรคขณะวินิจฉัยครั้งแรก
- ชนิดของเซลล์มะเร็ง
- การตอบสนองต่อการรักษา
- การดูแลตนเองหลังการรักษา
การติดตามหลังการรักษา
มีความสำคัญมาก ควรติดตามอย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 5 ปี ดังนี้
- การตรวจร่างกาย
- การตรวจเลือด CEA – Carcinoembryonic Antigen
- การถ่ายภาพ CT Scan ช่องท้องและอก
- การส่องกล้องลำไส้ใหญ่
การป้องกันการกลับเป็น
- ดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนัก
- กินอาหารที่มีประโยชน์
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
- การกินยาตามแพทย์สั่ง
- การมาตรวจตามนัด
หากพบการกลับเป็นเร็ว ยังมีโอกาสรักษาได้ โดยเฉพาะหากเป็นเพียงไม่กี่จุดและยังไม่แพร่กระจายมาก บางรายอาจสามารถผ่าตัดเอาออกได้ หรือใช้การรักษาเฉพาะที่ เช่น การเผาด้วยความร้อน การฉีดเคมีบำบัดเข้าตับโดยตรง
สัญญาณเตือนที่ควรระวังหลังการรักษา
- ปวดท้องผิดปกติ
- การเปลี่ยนแปลงของการขับถ่าย เลือดในอุจจาระ
- น้ำหนักลด
- เหนื่อยง่ายผิดปกติ หายใจลำบาก
แม้ว่า “มะเร็งลำไส้” ในระยะเริ่มต้นจะมีโอกาสรักษาหายขาดสูง แต่ก็มีความเสี่ยงที่โรคจะกลับมาเป็นซ้ำได้ โดยเฉพาะในระยะที่ 2 และ 3 ดังนั้นผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแล้วยังคงต้องไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสม
“มะเร็งลำไส้ใหญ่” ไม่ใช่โรคที่น่ากลัวเสมอไป หากเข้าใจและรู้จักวิธีการป้องกัน
เรียกได้ว่าการส่องกล้องระบบทางเดินอาหารนั้นเป็นวิธีวินิจฉัยโรคที่มีความปลอดภัยสูง และมีประสิทธิภาพในการระบุความผิดปกติภายในร่างกายได้แม่นยำ ใช้เวลารวดเร็วในการตรวจ
หากใครที่รู้สึกถึงอาการผิดปกติ ไม่ควรชะล่าใจ ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม โดยเฉพาะหากพบในระยะแรก โอกาสรักษาหายมีสูงมาก หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการผิดปกติของระบบขับถ่าย หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม
อย่ารอช้า! หากพบอาการผิดปกติที่สงสัยว่ามีอาการเกี่ยวกับมะเร็งลำไส้ เลือก ปรึกษาแพทย์ฟรี ตอนนี้
ที่ศูนย์ให้คำแนะนำการผ่าตัดส่องกล้อง MSC Healthcare มีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางพร้อมให้คำปรึกษา เพื่อให้ท่านได้รับการวินิจฉัยโรคเบื้องต้นผ่านทางระบบ Telemed Service ที่รวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวนาน ช่วยให้ทราบถึงแนวทางในการรักษาที่เหมาะสมกับภาวะของโรค และให้ผู้ป่วยได้เตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับการรักษาได้มากที่สุด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายได้ที่
โทร. 065-509-4459
Line : @msc.healthcare