โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Diseases – STDs) แต่ละประเภทมีสาเหตุ อาการ และการรักษาที่แตกต่างกัน เป็นปัญหาสุขภาพที่ผู้คนต้องให้ความสำคัญ เพราะมีความเสี่ยงและผลกระทบที่ร้ายแรงต่อชีวิต การทำความเข้าใจความแตกต่างจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราป้องกันและรักษาได้อย่างถูกต้อง ก่อนที่จะนำไปสู่ความเสี่ยงในการติดเชื้อและการดูแลรักษาที่ไม่เหมาะสม

HPV คืออะไร ?

HPV คือ Human Papillomavirus โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากเชื้อไวรัสที่ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์และเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยที่สุด มีมากกว่า 200 สายพันธุ์ แต่ที่อันตรายคือ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งช่องปากได้ และยังเป็นเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสทางผิวหนังได้อีกด้วย หลายคนอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังติดเชื้อ เพราะบ่อยครั้งไม่มีอาการแสดงออกมา

เชื้อ HPV ในผู้หญิงมีอาการ :

  • หูดที่อวัยวะเพศหรือเซลล์ผิดปกติที่ปากมดลูก (พบจากการตรวจ Pap Smear)
  • อาการคันหรือเจ็บบริเวณที่มีหูด
  • สายพันธุ์ 16 และ 18 อาจใช้เวลาหลายปีกว่าเซลล์จะเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นมะเร็ง ผู้หญิงที่ติดเชื้อ HPV บางรายอาจไม่มีอาการด้วยซ้ำ

ติดเชื้อ HPV หายไหม :

ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง ร่างกายสามารถกำจัดเชื้อได้เองภายใน 1 – 2 ปี แต่หากเชื้อยังคงอยู่ อาจก่อให้เกิดโรคตามมาได้ แต่ถ้าเป็นสายพันธุ์เสี่ยงสูงควรตรวจคัดกรองและติดตามใกล้ชิดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การป้องกันที่ดีที่สุด :

การฉีดวัคซีน HPV 9 สายพันธุ์ ช่วยป้องกันสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็งและหูดหงอนไก่ได้ครอบคลุมที่สุด และควรฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่อายุน้อยและก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก

HIV คืออะไร ?

HIV คือ Human Immunodeficiency Virus โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากเชื้อไวรัสที่มุ่งเป้าทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จะทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ การติดเชื้อ HIV จะพัฒนาไปเป็น AIDS หากไม่ได้รับการรักษา เมื่อภูมิคุ้มกันบกพร่องลง ร่างกายจะอ่อนแอและติดเชื้อโรคฉวยโอกาสต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น

ติดเชื้อ HIV กี่ปีออกอาการ :

อาการในระยะแรกอาจไม่ชัดเจน โดยทั่วไปอาจใช้เวลาหลายปีโดยที่ยังไม่มีอาการ แต่สามารถตรวจพบได้ด้วยการตรวจเลือด โดยทั่วไปอาการจะปรากฏภายใน 2 – 4 สัปดาห์หลังติดเชื้อ แต่บางคนอาจไม่มีอาการเลย ในระยะแรกหลังรับเชื้ออาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่แล้วหายไปเอง จากนั้นเชื้อจะเข้าสู่ระยะสงบซึ่งอาจนานหลายปี (เฉลี่ย 5 – 10 ปี) โดยไม่มีอาการใด ๆ ก่อนจะเข้าสู่ระยะที่ภูมิคุ้มกันถูกทำลายอย่างรุนแรง

การติดต่อ :

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  • การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก
  • เลือด อสุจิและสารหล่อลื่น

ซิฟิลิส คืออะไร ?

ซิฟิลิส คือ Syphilis โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ที่สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสแผลโดยตรงระหว่างมีเพศสัมพันธ์และจากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้ ความน่ากลัวของซิฟิลิส คือ อาการในแต่ละระยะคล้ายกับโรคอื่น ๆ ทำให้การวินิจฉัยผิดพลาดได้ง่าย โรคนี้มี 4 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 (แผลริมแข็ง) : มีแผลแข็ง แผลไม่เจ็บที่บริเวณที่รับเชื้อ (อวัยวะเพศ ทวารหนัก ริมฝีปาก) แล้วจะหายไปเองใน 3 – 6 สัปดาห์

ระยะที่ 2  (ออกดอก) : ผื่นแดงทั่วตัว ฝ่ามือฝ่าเท้า อาจมีผมร่วง เป็นไข้ ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต

ระยะที่ 3 (ระยะแฝง) : ไม่มีอาการ แต่เชื้อยังมีอยู่ในร่างกาย

ระยะที่ 4 (ระยะทำลาย) : หากไม่รักษาเชื้อจะเข้าทำลายสมอง หัวใจ หลอดเลือด และอวัยวะที่สำคัญในร่างกาย

“ซิฟิลิสแตกต่างจาก HIV และ HPV ตรงที่สามารถรักษาหายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ”

HIV กับ AIDS จริง ๆ แล้วไม่เหมือนกันตรงไหน ?

หลายคน มักใช้คำว่า “HIV” และ “AIDS” สลับกันหรือเกิดความสับสนภายในใจ แต่จริง ๆ แล้วทั้ง 2 คำนี้มีความหมายแตกต่างกัน ดังนี้

HIV

เชื้อไวรัสที่เข้าทำลายเซลล์ CD4 (เซลล์เม็ดเลือดขาว) ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตปกติได้ หากได้รับการรักษาที่เหมาะสม

AIDS

ภาวะที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอจนเกิดโรคแทรกซ้อน AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) หรือ โรคเอดส์ คือ กลุ่มอาการของภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นผลมาจากการติดเชื้อ HIV แล้วไม่ได้รับการรักษา จนระดับเม็ดเลือดขาว เซลล์ CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. ระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV ที่ภูมิคุ้มกันถูกทำลายจนติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่าย

ผู้ติดเชื้อ HIV ทุกคนไม่ได้เป็นเอดส์ หากได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง”

อาการเหล่านี้ ติดเชื้ออะไร ?

อาการที่ต้องระวัง :

  • HPV : หูดที่อวัยวะเพศ หูดหงอนไก่ ตกขาวผิดปกติ หรือบางรายไม่มีอาการ
  • HIV : ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บคอ ไข้ อ่อนเพลีย หรือช่วงแรกอาจไม่มีอาการ ต้องตรวจเลือดเพื่อยืนยัน
  • ซิฟิลิส : แผลที่อวัยวะเพศ แผลริมแข็ง ผื่นตามตัวฝ่ามือฝ่าเท้า หรืออาการทางระบบประสาท

การตรวจเลือด :

  • HPV : หูดหงอนไก่ ตรวจด้วยการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap Smear, HPV DNA test) 
  • HIV : ตรวจได้หลังติดเชื้อ 3 – 12 สัปดาห์ ตรวจเลือดหาแอนติบอดี/แอนติเจนของเชื้อ (Anti-HIV)
  • ซิฟิลิส : ตรวจได้หลังติดเชื้อ 3 – 6 สัปดาห์ ตรวจเลือด VDRL/TPHA หากรักษาเร็วสามารถหายขาดได้

การรักษา :

  • HPV : ไม่มียารักษาจำเพาะ บางรายหายเอง แต่บางรายต้องรักษา (สายพันธุ์เสี่ยงสูงต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิด)
  • HIV : รักษาไม่หาย แต่ควบคุมและรักษาเชื้อได้ด้วยยาต้าน HIV 
  • ซิฟิลิส : รักษาหายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ (เพนิซิลลิน) โดยเฉพาะหากรีบรักษาตั้งแต่ในระยะแรก

เพศสัมพันธ์ที่ป้องกัน มันถูกแล้วใช่ไหม ?

  • ใช้ถุงยางอนามัย ทุกครั้ง ลดความเสี่ยงได้ 80 – 95% แม้ใช้ถุงยางอนามัย HPV ก็ยังสามารถติดได้จากการสัมผัสผิวหนัง ควรระมัดระวังเป็นอย่างมาก
  • มีคู่นอนคนเดียว ที่ไม่ติดเชื้อ อาจจะต้องมีการพูดคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์และโรคติดต่อให้เข้าใจกัน
  • ตรวจสุขภาพประจำปี อย่างสม่ำเสมอ หากมีความเสี่ยง ควรตรวจเลือดเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง การรู้สถานะของตัวเองและคู่นอนจะช่วยให้วางแผนป้องกันและรักษาได้อย่างถูกต้อง
  • ฉีดวัคซีน HPV คือเครื่องมือสำคัญในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกและหูดหงอนไก่ การฉีดวัคซีน HPV จึงสำคัญมากและเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยเสริมการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 
  • หลีกเลี่ยง การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่าง HPV HIV และซิฟิลิส มีความร้ายแรงแตกต่างกัน แต่ทุกโรคสามารถป้องกันได้ด้วยการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และเข้ารับการตรวจเลือดหรือฉีดวัคซีนตามคำแนะนำแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ทันที

“เพราะการรักษาเร็ว = โอกาสรอดสูงกว่าเสมอ”

การเรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของแต่ละโรค จะช่วยลดความกลัวและนำไปสู่การป้องกันและดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี หากคุณมีความกังวลหรือสงสัยว่าอาจมีความเสี่ยง อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์หรือเข้ารับการตรวจเลือด เพราะการตรวจพบเร็ว รักษาเร็ว คือกุญแจสำคัญสู่การมีสุขภาพที่ดีและ “อยู่รอด” จากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อย่างปลอดภัย