
การผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนัก เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคอ้วนและโรคร่วม โดยทำให้น้ำหนักลดลงอย่างชัดเจนภายใน 1-2 ปีและโรคร่วมหายหลังการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายได้ดีพอ อาจส่งผลให้กระเพาะอาหารขยายตัว น้ำหนักกลับมาเพิ่มขึ้นหรือแม้กระทั่งโรคร่วมกลับมาอีกครั้ง
ในกรณีที่น้ำหนักตัวกลับมาเพิ่มจนส่งผลกระทบต่อภาวะสุขภาพ อาจมีความจำเป็นต้องพิจารณาการผ่าตัดกระเพาะครั้งที่ 2 ซึ่งเรียกว่า Revisional Bariatric Surgery เพื่อปรับปรุงผลของการรักษา เช่น น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น หรือ การกลับมาของโรคร่วม เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดซ้ำมักมีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงมากกว่าการผ่าตัดครั้งแรก จึงควรได้รับการประเมินจากศัลยแพทย์เฉพาะทางอย่างละเอียด
ใครบ้างที่เหมาะกับการผ่าตัดรอบที่ 2
แม้ว่าการผ่าตัดลดน้ำหนักครั้งที่ 2 (Revisional Bariatric Surgery) อาจเป็นทางเลือกสำหรับบางกรณี แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้ารับการผ่าตัดซ้ำได้ เนื่องจากต้องคำนึงถึงความเสี่ยงและข้อจำกัดทางสุขภาพของผู้ป่วยเป็นสำคัญ โดยศัลยแพทย์จะพิจารณาเป็นรายบุคคลว่าการผ่าตัดครั้งที่ 2 จะให้ประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงหรือไม่
เกณฑ์พิจารณาสำหรับการผ่าตัดกระเพาะรอบที่ 2
- ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดไปแล้วแต่หลังผ่านไป 1-2 ปี ยังคงมีค่า BMI สูงกว่า 35–40 kg/m²
- น้ำหนักกลับมาเพิ่มขึ้นจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
- มีภาวะแทรกซ้อนที่รบกวนการใช้ชีวิต เช่น กรดไหลย้อนรุนแรง, ภาวะขาดสารอาหาร หรืออาการลำไส้อุดตัน
- กระเพาะขยายตัวผิดปกติจากพฤติกรรมการรับประทานอาหาร

ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจผ่าตัดลดน้ำหนักรอบที่ 2
สำหรับผู้ที่เคยผ่านการผ่าตัดลดน้ำหนักมาแล้ว แต่ยังคงมีภาวะน้ำหนักเกิน หรือค่า BMI สูงกว่า 35 – 40 kg/m² และกำลังพิจารณาการผ่าตัดลดน้ำหนักรอบที่ 2 (Revisional Bariatric Surgery) มีปัจจัยสำคัญที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ ดังนี้
1. ควรเว้นระยะห่างจากการผ่าตัดครั้งแรก
ศัลยแพทย์แนะนำให้เว้นระยะ ไม่น้อยกว่า 1 – 2 ปี หลังการผ่าตัดครั้งแรก เพื่อให้แน่ใจว่าการลดน้ำหนักไม่สามารถปรับแก้ได้ด้วยวิธีอื่น เช่น การปรับพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย
2. อาจมีการเปลี่ยนแปลงเทคนิคการผ่าตัด
หากการผ่าตัดครั้งแรกไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีพอ แพทย์อาจพิจารณา เปลี่ยนวิธีผ่าตัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เช่นเปลี่ยนจาก Sleeve Gastrectomy เป็น Gastric Bypass (Roux-en-Y Gastric Bypass: RYGB) หรือ ปรับแก้รอยต่อระหว่างกระเพาะและลำไส้เพื่อควบคุมการดูดซึมอาหาร
3. ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่ต้องพิจารณา
การผ่าตัดครั้งที่ 2 อาจมีความซับซ้อนและมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนสูงขึ้น เช่น
- พังผืดจากการผ่าตัดครั้งก่อน อาจทำให้การผ่าตัดยากขึ้น
- ภาวะขาดสารอาหาร เนื่องจากกระบวนการย่อยและดูดซึมอาหารเปลี่ยนไป
- ความเสี่ยงของลำไส้อุดตันหรือแผลรั่ว (หากเป็นการผ่าตัดแบบบายพาส)
4. ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างจริงจัง
แม้ว่าการผ่าตัดจะช่วยควบคุมการกิน แต่หาก ไม่ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย น้ำหนักก็สามารถกลับมาเพิ่มขึ้นได้ และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย และการติดตามผลหลังผ่าตัด
ดังนั้นการผ่าตัดลดน้ำหนักครั้งที่ 2 ไม่ใช่ทางออกแรกเสมอไป ควรได้รับการประเมินจากศัลยแพทย์เฉพาะทางเพื่อดูว่าเหมาะสมหรือไม่ ทั้งในแง่ของข้อบ่งชี้ ความเสี่ยง และความเป็นไปได้ของผลลัพธ์ หากเลือกเข้ารับการผ่าตัด ควรเตรียมตัวให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด
อ่านบทความที่น่าสนใจ : เปรียบเทียบวิธีลดน้ำหนัก ผ่าตัดกระเพาะ VS ใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร แบบไหนเหมาะกับใคร?
การเตรียมตัวสำหรับการผ่าตัดโรคอ้วนรอบที่ 2
เมื่อตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดลดน้ำหนักรอบที่ 2 (Revisional Bariatric Surgery) ผู้ป่วยควรเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจให้เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวที่ดี โดยมีแนวทางเตรียมตัวดังนี้
1. ทำความเข้าใจเรื่องโภชนาการหลังผ่าตัด
ควรศึกษา รูปแบบการกินอาหารหลังผ่าตัด เนื่องจากระบบทางเดินอาหารอาจมีการเปลี่ยนแปลง ร่วมกับปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารล่วงหน้า เช่น ลดอาหารไขมันสูง งดเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล และลดการบริโภคอาหารปริมาณมากในมื้อเดียว
2. เตรียมความพร้อมด้านจิตใจ
การผ่าตัดครั้งที่ 2 อาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับ ผลลัพธ์และภาวะแทรกซ้อน ควรพูดคุยปรึกษาแพทย์เพื่อทำความเข้าใจอย่างละเอียด หากมีภาวะ ความเครียดหรือภาวะซึมเศร้า ควรได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญก่อนผ่าตัด
3. ตรวจสุขภาพประเมินความเสี่ยงก่อนผ่าตัด
ตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อประเมินภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภาวะขาดสารอาหาร, โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ หรือความดันโลหิตสูง นอกจากนั้นจะมีการตรวจทาง ส่องกล้อง (Endoscopy) หรือ X-ray ระบบทางเดินอาหาร เพื่อตรวจสอบสภาพกระเพาะและลำไส้
4. ปรับพฤติกรรมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการผ่าตัด
งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่น้อยกว่า 4 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงของแผลหายช้าและภาวะแทรกซ้อน พักผ่อนให้เพียงพอ และ ลดความเครียด เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการฟื้นตัว
5. ปฏิบัติตามข้อกำหนดก่อนเข้าผ่าตัด
งดน้ำและอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด ตามคำแนะนำของแพทย์ และปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับ ยาที่ต้องรับประทาน ว่าควรหยุดหรือปรับขนาดยาอย่างไร
การเตรียมตัวที่ดีช่วยให้การผ่าตัดครั้งที่ 2 ปลอดภัยขึ้นและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดและปรับพฤติกรรมล่วงหน้าเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดหลังผ่าตัดโรคอ้วนรอบที่ 2
หลังการผ่าตัดกระเพาะอาหารรอบที่ 2 ผู้ป่วยบางรายอาจพบผลข้างเคียงที่เกิดจากการผ่าตัด ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร แม้ว่าผลข้างเคียงเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ โดยอาจมีอาการภายใน 3-4 วันหลังการผ่าตัด โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
- คลื่นไส้และอาเจียน
- ท้องผูกหรือท้องเสีย
- อาการแผลในกระเพาะอาหารหรือกรดไหลย้อน
- ผลกระทบจากการดูดซึมสารอาหาร เช่น ภาวะขาดโปรตีน วิตามิน หรือ เกลือแร่บางชนิด
เมื่อมีผลข้างเคียงจากการผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลจากทีมแพทย์อย่างใกล้ชิด นอกจากนั้นแล้วควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาวได้ เช่น ภาวะขาดวิตามินหรือเกลือแร่เรื้อรัง รวมทั้งช่วยลดความรุนแรงของผลข้างเคียงได้
เมื่อผู้ป่วยมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการผ่าตัด ควรปรึกษาแพทย์ทันที และไม่ลืมมาติดตามผลหลังผ่าตัดตามนัดของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
การดูแลสุขภาพหลังการผ่าตัดกระเพาะครั้งที่ 2
นอกจากการพักผ่อนให้เพียงพอและปฏิบัติตามแพทย์สั่งแล้ว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์หลังผ่าตัดลดน้ำหนักครั้งที่ 2 ตามต้องการ ผู้ป่วยควรดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมและปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเพื่อลดปัญหาน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหรือเพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน โดยวิธีดูแลสุขภาพหลังผ่าตัดสามารถทำได้ ดังนี้
1. เพิ่มโปรตีนในทุกมื้ออาหาร
โปรตีนเป็นอาหารที่มีความสำคัญต่อผู้ที่ผ่านการผ่าตัดส่องกล้องรักษาโรคอ้วน ที่จำเป็นต้องได้รับอย่างเพียงพอเพื่อป้องกันการเผาผลาญกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว และช่วยลดภาวะคลื่นไส้ อาเจียน เหนื่อยง่าย ลดความเสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อ ดังนั้นหลังผ่าตัดควรเพิ่มโปรตีนเข้าไปในมื้ออาหารทุกมื้อ เช่น ไข่ต้ม เนื้อไก่ ปลาทะเลน้ำลึก และถั่วเปลือกแข็ง
2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
นอกจากโปรตีนแล้ว หลังผ่าตัดรอบที่ 2 ร่างกายอาจมีการดูดซึมสารอาหารได้น้อยลง ทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหารและวิตามินได้ การรับประทานอาหารที่หลากหลายเป็นประจำคือวิธีที่ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างวิตามินและแร่ธาตุที่เพียงพอต่อความต้องการ
3. ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม
ควรดื่มน้ำสะอาดในปริมาณไม่น้อยกว่า 8 – 10 แก้วต่อวัน และไม่ควรดื่มน้ำพร้อมกับมื้ออาหาร ควรดื่มหลังจากมื้ออาหารประมาณ 30 นาที และควรใช้วิธีจิบน้ำทุก 15 – 20 นาที ตลอดทั้งวัน แทนการดื่มปริมาณมากเพียงครั้งเดียว
4. งดทานอาหารระหว่างมื้อ
เพื่อผลลัพธ์ของการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน ควรงดรับประทานอาหารว่างระหว่างมื้อ งดการทานจุบจิบ หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม ของหวาน เพราะมีส่วนที่ทำให้น้ำหนักลดช้าและส่งผลให้น้ำหนักกลับมาเพิ่มอย่างรวดเร็วได้ ควรกำหนดการรับประทานอาหารโดยแบ่งเป็นมื้อและเป็นเวลา
5. รักษาระดับน้ำตาลในเลือด
การรักษาระดับน้ำตาลในเลือด เป็นวิธีที่ช่วยควบคุมความหิวและอารมณ์ให้อยู่ในระดับคงที่ โดยวิธีรักษาระดับน้ำตาลในเลือดนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการรับประทานอาหารที่เหมาะสม ดังนี้
- หลีกเลี่ยงน้ำตาลเชิงเดี่ยว : เช่น มันฝรั่ง ข้าวขาว ขนมปังขาว ไอศกรีม เบเกอรี่
- ทานอาหารคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน : เช่น ขนมปังโฮลวีท ข้าวซ้อมมือ ธัญพืช อาหารที่มีเส้นใยสูงเหล่านี้ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและช่วยให้อิ่มเร็ว ทั้งนี้ควรจำกัดปริมาณในการทานอย่างเหมาะสมในแต่ละมื้อด้วย
6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
หลังการผ่าตัดและพ้นจากระยะพักฟื้น ควรออกกำลังกายเพื่อควบคุมน้ำหนักและความดันอย่างน้อยวันละ 30 นาที ติดต่อกันสัปดาห์ละ 5 วัน อาจใช้วิธีเดินเร็วหรือการออกกำลังกายที่ไม่หนักจนเกินไปแต่เน้นความสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญ และควรงดการยกของหนักในช่วงแรกเพื่อลดอาการบาดเจ็บ
การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง เพื่อให้น้ำหนักลดลงในระดับที่เหมาะสมและป้องกันน้ำหนักกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็วในระยะยาว ซึ่งนอกจากวิธีเหล่านี้แล้วควรงดการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีโซเดียมสูงด้วย

ผ่าตัดส่องกล้องรักษาโรคอ้วน โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่ MSC Healthcare
เมื่อน้ำหนักเพิ่มขึ้นจนเกิดความกังวลใจเกี่ยวกับโรคอ้วน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตคือวิธีเบื้องต้นที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคร่วมที่มากับภาวะน้ำหนักเกินได้ แต่หากรู้สึกว่าไม่สามารถจัดการกับโรคอ้วนได้หรือส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรังหรือโรคร้ายแรง พร้อมทั้งกลับมามีรูปร่างและสุขภาพที่ดีขึ้นได้
ที่ MSC Healthcare เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในเคสผ่าตัดส่องกล้องรักษาโรคอ้วน พร้อมเครื่องมือที่ทันสมัย ปลอดภัย เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพและให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้ หรือผู้ที่เคยผ่านการผ่าตัดกระเพาะมาแล้วแต่ยังไม่ได้ผลลัพธ์ในการลดน้ำหนักที่น่าพึงพอใจ สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและความเหมาะสมของการผ่าตัดลดน้ำหนักครั้งที่ 2 กับทาง ศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง MSC Healthcare ผ่านระบบ Telemed Service ที่สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องรอคิว
ที่ MSC Healthcare เราให้ความสำคัญกับผลลัพธ์และความปลอดภัยมากกว่าเรื่องของความงาม พร้อมคำแนะนำทั้งก่อนและหลังผ่าตัดเพื่อการควบคุมน้ำหนักที่เห็นผลได้ในระยะยาว
ปรึกษาแพทย์ฟรี หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ @msc.healthcare หรือ โทร.065-509-4459