
สำหรับผู้ที่กำลังเผชิญกับภาวะโรคอ้วน หรือมีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐานจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ การใช้ชีวิตประจำวัน ความมั่นใจ และไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีการทั่วไป เช่น การควบคุมอาหารหรือออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว จนทำให้ได้มารู้จักกับการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก (Bariatric Surgery) ที่กลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนหรือโรคอ้วนเรื้อรัง ถือเป็นทางเลือกทางการแพทย์ที่ช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาได้รับผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในปัจจุบัน
ในบทความนี้ เราจะตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก โดย พญ.ญนิณี อนุศิษฏ์วิวัฒน์ ศัลยแพทย์ผ่าตัดผ่านกล้องขั้นสูง ประจำคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา ที่มาพร้อมกับคำตอบจากคำถามสำคัญต่าง ๆ ที่คุณอาจสงสัยอยู่แล้ว เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้องก่อนตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด
อ่านบทความที่น่าสนใจ : ถาม-ตอบการผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนัก กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ถ้าผ่าตัดกระเพาะก่อนมีลูก หลังมีลูกจะกลับมาอ้วนเหมือนเดิมไหม ?
เป็นความกังวลที่พบบ่อยสำหรับผู้หญิงที่วางแผนจะผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักและต้องการมีลูกในอนาคต บางกรณีมีโอกาส “กลับมาอ้วน” ได้ แต่ไม่ใช่ทุกคน และขึ้นอยู่กับพฤติกรรมหลังคลอดเป็นหลัก ไม่ได้หมายความว่าผ่าตัดแล้วจะไม่อ้วนอีกเลย แต่มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมด้วย
ทำไมบางคนยังคงผอมหลังมีลูก
- หลังได้รับการผ่าตัดกระเพาะอาหาร ทำให้กระเพาะมีขนาดเล็ก กระชับลง และทำให้กินอาหารได้ไม่มากเท่าที่ผ่านมา
- ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารบางอย่างได้น้อยลง (ถ้าเป็นการผ่าตัดกระเพาะอาหารวิธี Gastric Bypass Surgery) เพราะร่างกายจะดูดซึมสารอาหารได้น้อยลงหลังการผ่าตัด เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางเดินอาหาร ทำให้ปริมาณอาหารที่ต้องผ่านลำไส้เล็กส่วนที่ดูดซึมสารอาหารมีน้อยลง ซึ่งอาจส่งผลให้ขาดวิตามินและแร่ธาตุได้ จึงจำเป็นต้องมีการกินวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นอย่างสม่ำเสมอ ตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- คนไข้ที่มีวินัยในการกินและออกกำลังกายต่อเนื่องจะสามารถคุมน้ำหนักได้ดี
- บางกรณี ฮอร์โมนและระบบเผาผลาญของร่างกายปรับการทำงานได้ดีขึ้น หลังจากการได้รับการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก
ทำไมบางคนกลับมาอ้วนหลังมีลูก
- พฤติกรรมการกิน
หากกลับมากินอาหารที่มีแคลอรีสูง กินจุกจิก กินหวานไขมันสูง หรือกินปริมาณมากเกินไปหลังคลอด แม้ก่อนหน้านั้นกระเพาะจะมีขนาดเล็กลงหากยังกินอาหารเหล่านี้ ก็สามารถทำให้น้ำหนักกลับขึ้นมาได้ เพราะระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอด คุณแม่มักจะได้รับคำแนะนำให้กินอาหารให้มากขึ้นเพื่อบำรุงครรภ์และผลิตน้ำนม หากไม่ได้ควบคุมปริมาณและเลือกอาหารที่มีประโยชน์อย่างเหมาะสม ก็มีโอกาสที่น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นได้ง่าย
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ในช่วงการตั้งครรภ์และหลังคลอด มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องความอยากอาหารและระบบเผาผลาญ ซึ่งอาจส่งผลต่อการสะสมของไขมันและน้ำหนักตัวที่มากขึ้นได้
- การไม่ออกกำลังกาย
ช่วงหลังคลอดหลายคนอาจไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ทำให้น้ำหนักกลับขึ้นมาและร่างกายเผาผลาญพลังงานน้อยลง
- ความเครียดและการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
คุณแม่หลังคลอดมักนอนน้อยจากการเลี้ยงลูกอ่อนอาจทำให้คุณแม่มีเวลาพักผ่อนน้อยลง ซึ่งมีผลต่อการควบคุมน้ำหนักและความอยากอาหาร อาจนำไปสู่พฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้
คำแนะนำสำหรับการมีลูกหลังผ่าตัดกระเพาะ
- ช่วงปลอดภัยในการตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์หลังผ่าตัดกระเพาะ แพทย์แนะนำให้เว้นระยะการตั้งครรภ์ประมาณ 12 – 24 เดือน หลังผ่าตัด เพื่อให้ร่างกายและน้ำหนักฟื้นตัวได้เต็มที่ เพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหารที่อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้ และยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคอ้วนที่อาจส่งผลจากแม่สู่ลูก เช่น เบาหวานขณะตั้งครรภ์หรือครรภ์เป็นพิษ
- การกินวิตามิน
บางกรณี ต้องกินวิตามินและแร่ธาตุเสริม (โดยเฉพาะเหล็ก โฟเลต วิตามินบี12 แคลเซียม) เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จะกระทบต่อการตั้งครรภ์ในอนาคต
- เน้นโภชนาการที่มีคุณภาพ
แม้หลังผ่าตัด กระเพาะจะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิม แต่คุณแม่ยังคงต้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน การเลือกกินอาหารที่มีโปรตีนสูง ผักใบเขียว และผลไม้ที่มีประโยชน์ รวมถึงการกินวิตามินเสริมตามคำแนะนำของแพทย์จึงเป็นสิ่งสำคัญ
- ติดตามแพทย์และนักโภชนาการ
หลังคลอด ควรกลับมาเพื่อวางแผนควบคุมน้ำหนักและอาหารที่เหมาะสม ต้องควบคุมเรื่องอาหารและออกกำลังกายสม่ำเสมอ หากไม่ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด น้ำหนักก็จะกลับเพิ่มขึ้นมาได้
วิธีป้องกันไม่ให้น้ำหนักกลับมา
ระหว่างตั้งครรภ์
- ควบคุมน้ำหนักให้เพิ่มขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดีและความพร้อมในการตั้งครรภ์ตามคำแนะนำของแพทย์
- กินอาหารครบ 5 หมู่สำคัญ ในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามวัดระดับของวิตามินและเกลือแร่ที่ได้รับให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม
หลังคลอด
- หลีกเลี่ยงการกินตามอารมณ์หรือความเครียด กลับไปปฏิบัติตามหลักการกินอาหารหลังผ่าตัดกระเพาะตามคำแนะนำของแพทย์
- พักผ่อนให้เพียงพอและปรับอาหารให้เหมาะสมกับช่วงให้นมลูก โดยเน้นโปรตีนและอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน
- เริ่มออกกำลังกายเบา ๆ เมื่อร่างกายพร้อมและให้เหมาะสมกับระดับความแข็งแรงของร่างกาย หลังจากแพทย์อนุญาต เช่น เดินเร็ว โยคะหลังคลอด
- ติดตามน้ำหนักและรักษาให้คงที่อย่างสม่ำเสมอ โดยเข้ารับการติดตามผลกับแพทย์และนักโภชนาการอย่างสม่ำเสมอ
Do you know ? สถิติที่น่าสนใจ
ผู้หญิงที่ผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักก่อนมีลูก มักมีน้ำหนักหลังคลอดต่ำกว่าผู้หญิงที่ไม่เคยผ่าตัด
เป็นโรคเบาหวาน สามารถผ่าตัดกระเพาะได้ไหม ?
โรคเบาหวานกับการผ่าตัดกระเพาะอาหาร (Bariatric Surgery) ถือเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานหรือเป็นโรคอ้วน และในหลายกรณี แพทย์แนะนำให้ผ่าตัดด้วยซ้ำ เนื่องจากการผ่าตัดกระเพาะไม่เพียงช่วยลดน้ำหนัก แต่ยังช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดดีขึ้น บางรายสามารถหยุดหรือลดการใช้ยาลดน้ำตาลได้หรือแม้แต่หายขาดจากโรคเบาหวานได้เลยด้วย แต่ต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมและวางแผนการรักษาที่ปลอดภัยที่สุด
อ่านบทความที่น่าสนใจ : ผ่าตัดกระเพาะ ช่วยรักษาโรคเบาหวานได้จริงไหม?
ข้อควรพิจารณาก่อนผ่าตัด
ต้องมีการประเมินสุขภาพโดยรวมและควบคุมระดับน้ำตาลให้ดีก่อนผ่าตัด แพทย์จะพิจารณา ข้อบ่งชี้ของการผ่าตัดในผู้ป่วยเบาหวาน ตามค่าดัชนีมวลกาย ดังนี้ :
- BMI มากกว่า 32.5 ร่วมกับมีเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่สามารถควบคุมได้
- BMI ต่ำกว่า 32.5 สามารถเข้ารับการตรวจและพิจารณาเฉพาะบุคคลกับแพทย์เฉพาะทาง
- ผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ แม้ใช้ยาและปรับพฤติกรรมแล้ว
- ผู้ที่มีโรคร่วมอื่น ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ฯลฯ
ประโยชน์ต่อโรคเบาหวาน
แบ่งตามการรูปแบบการผ่าตัด
- Gastric Bypass Surgery : อัตราหายขาดเบาหวานสูงที่สุด (70 – 90%)
- Sleeve Gastrectomy Surgery : อัตราหายขาดเบาหวานดี (60 – 80%)
- Gastric Banding : อัตราหายขาดต่ำที่สุด (40 – 60%)
แบ่งตามอาการหลังผ่าตัด
- ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น
การผ่าตัดกระเพาะจะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และในหลายกรณี ผู้ป่วยสามารถหยุดใช้ยาเบาหวานหรือลดปริมาณยาได้ โดยเฉพาะการผ่าตัดบายพาสกระเพาะอาหาร (Gastric Bypass Surgery) เนื่องจากมีผลต่อฮอร์โมนในลำไส้ที่ควบคุมระดับอินซูลินและน้ำตาลในเลือด
- น้ำหนักตัวที่ลดลง
การผ่าตัดช่วยให้ผู้ป่วยลดน้ำหนักได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการโรคเบาหวาน เพราะเซลล์ไขมันที่สะสมอยู่มีผลต่อการดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance)
- ลดภาวะแทรกซ้อน
เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดและการควบคุมน้ำหนักดีขึ้น ความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนระยะยาวจากเบาหวาน เช่น โรคไต โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมองก็จะลดลงตามไปด้วย
- 60 – 90% ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
สามารถหยุดยาเบาหวานได้และยังช่วยลดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของเบาหวานชนิดที่ 2
เงื่อนไขที่อาจไม่เหมาะสม
เบาหวานชนิดที่ 1
- ต้องได้รับการประเมินเป็นพิเศษจากแพทย์
- ประโยชน์หลักคือการลดน้ำหนัก ไม่ใช่การหายขาดจากเบาหวาน
- ยังต้องใช้อินซูลินต่อไป แต่อาจลดปริมาณลงได้
เบาหวานแทรกซ้อนรุนแรง
- โรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย
- โรคหัวใจรุนแรง
- โรคตาแทรกซ้อนรุนแรง
Do you know ? สถิติที่น่าสนใจ
อัตราการหายขาดจากเบาหวานหลังผ่าตัดอยู่ที่ประมาณ 70 – 80%
เป็นกรดไหลย้อน ผ่าตัดกระเพาะได้ไหม ?
กรดไหลย้อนไม่ได้เป็นข้อห้ามในการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่แพทย์จะนำมาพิจารณาเพื่อเลือกประเภทการผ่าตัดที่เหมาะสมที่สุด หากคุณมีภาวะกรดไหลย้อนรุนแรง การผ่าตัดบายพาสกระเพาะอาหาร (Gastric Bypass Surgery) มักเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการผ่าตัดกระเพาะอาหารแบบสลีฟ (Sleeve Gastrectomy Surgery) เนื่องจากไม่เพียงแต่ช่วยลดน้ำหนัก แต่ยังรักษาภาวะกรดไหลย้อนรุนแรงได้พร้อมกัน
ข้อดี Gastric Bypass Surgery สำหรับผู้ป่วยกรดไหลย้อน
- ลดอาการกรดไหลย้อนได้ 80 – 95% ลดการผลิตกรดจากการสร้างถุงกระเพาะอาหารขนาดเล็กและบายพาส (เปลี่ยนเส้นทาง) ไปยังลำไส้เล็ก ทำให้ปริมาณกรดที่ไหลไปสู่หลอดอาหารลดลงอย่างมาก
- ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหาร
- ช่วยลดน้ำหนักและช่วยลดแรงดันในช่องท้อง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของกรดไหลย้อน ทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นหรือหายจากอาการได้เลย
- ปรับปรุงคุณภาพชีวิตโดยรวมให้มีสุขภาพที่ดีในอนาคตระยะยาว
ใครบ้างที่เหมาะกับการผ่าตัด ?
- ผู้ที่เป็นกรดไหลย้อนเรื้อรังและบางกรณี ไม่ตอบสนองต่อยาเหมือนที่ผ่านมา
- ผู้ที่มีภาวะอ้วนร่วมด้วยและต้องการลดน้ำหนักเพื่อควบคุมอาการ
- ผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น หลอดอาหารอักเสบเรื้อรัง หรือเสียงแหบจากกรดไหลย้อน ฯลฯ
ข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยกรดไหลย้อนที่สนใจผ่าตัดกระเพาะ
- ปรึกษาศัลยแพทย์และอายุรแพทย์ระบบทางเดินอาหารเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสม
- ปรับพฤติกรรมร่วมด้วย เช่น เลี่ยงอาหารมัน เผ็ด กาแฟ และงดนอนหลังจากเพิ่งกินอาหาร
บอกหมอว่าอยากผอมลงมาก ๆ ขอขนาดกระเพาะเล็ก ๆ เลย ?
การผ่าตัดกระเพาะอาหาร มีการกำหนดขนาดที่เป็นมาตรฐานทางการแพทย์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการส่วนบุคคล แต่เป็นดุลยพินิจของศัลยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด เนื่องจากการผ่าตัดกระเพาะเป็นหัตถการทางการแพทย์ ที่แพทย์จะคำนวณและกำหนดขนาดกระเพาะให้เหมาะสมกับสุขภาพ ความปลอดภัย และผลลัพธ์ระยะยาวของผู้ป่วย ไม่ใช่การทำศัลยกรรมเสริมความงามที่เลือกขนาดตามความชอบได้ โดยอ้างอิงเบื้องต้นจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1. หลักการทางการแพทย์และสรีรวิทยา
- สรีระส่วนบุคคลของผู้ป่วย
รวมไปถึงขนาดและสัณฐานเดิมของกระเพาะอาหาร
- เป้าหมายการลดน้ำหนัก
ความเหมาะสมและความสมดุลของน้ำหนักที่ควรจะลดลงต่อสุขภาพ ณ ปัจจุบัน ตามหลักการแพทย์ เพื่อให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดีและยั่งยืนขึ้นต่อไปในอนาคต โดยไม่ก่อให้เกิดภาวะขาดสารอาหารหรือภาวะที่ส่งผลกระทบไม่ดีต่อร่างกาย
- ความปลอดภัย
การผ่าตัดกระเพาะอาหารออกไปมากเกินไป ไม่ได้ช่วยให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะหากตัดกระเพาะออกมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะขาดสารอาหารอย่างรุนแรง หรือการกลับมาเพิ่มน้ำหนักในระยะยาวได้ง่ายขึ้น เนื่องจากร่างกายปรับตัวเข้ากับภาวะขาดสารอาหารไม่ทัน
2. ประเภทของการผ่าตัด
- การผ่าตัดกระเพาะอาหารแบบสลีฟ (Sleeve Gastrectomy Surgery)
ศัลยแพทย์จะตัดกระเพาะอาหารออกประมาณ 80% จะเหลือกระเพาะประมาณ 15 – 20% จากขนาดเดิม และทำทรงรูปร่างให้กระเพาะอาหารเหลือเพียงท่อยาวคล้ายรูปกล้วย ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานที่กำหนดไว้ตามหลักการแพทย์
- การผ่าตัดบายพาสกระเพาะอาหาร (Gastric Bypass Surgery)
ศัลยแพทย์จะทำให้กระเพาะอาหารถูกทำให้เล็กลงเหลือขนาดประมาณ 30 – 50 มล. และสร้างถุงกระเพาะอาหารเล็ก ๆ ขนาดประมาณ 1 – 2 ออนซ์ ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถกินอาหารได้น้อยลงอย่างชัดเจน
3. ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) สุขภาพโดยรวม และภาวะโรคอ้วน
- ดัชนีมวลกาย (BMI) ถ้ามีค่า มากกว่า 30 ขึ้นไป จะถือว่าอยู่ในเกณฑ์โรคอ้วนจนส่งผลเสียต่อสุขภาพ
- มีโรคร่วม เช่น เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ฯลฯ สำหรับผู้ป่วยบางรายมีโรคประจำตัว ดังนั้นทั้งขนาดกระเพาะและวิธีการผ่าตัดจะถูกปรับตามความเหมาะสม
- คนที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานมาก ต้องให้กระเพาะเล็กลงเพื่อควบคุมการกินอาหาร แต่หากเล็กเกินไปก็เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารเช่นกัน
- ความสามารถในการปรับพฤติกรรมการกิน
อ่านบทความที่น่าสนใจ : โรคอ้วนคืออะไร? เมื่อไหร่ควรตัดสินใจผ่าตัด
4. ทำไมถึงไม่ควรเลือกขนาดตามใจ ?
- หากผ่าตัดกระเพาะอาหารในขนาดที่เล็กเกินไป ทำให้สามารถลดน้ำหนักลงได้เยอะจริง แต่อาจทำให้กินอาหารได้น้อยลงเกินไปจนเกิดภาวะขาดสารอาหารได้
- หากผ่าตัดกระเพาะอาหารในขนาดที่ใหญ่เกินไป อาจลดประสิทธิภาพในการลดน้ำหนัก
- การผ่าตัดต้องคำนึงถึงสมดุลระหว่างผลลัพธ์และความปลอดภัย
5. ถ้าเลือกกระเพาะเล็กมาก ๆ จะเป็นอย่างไร ?
- อาจทำให้น้ำหนักลดเร็วจริง แต่เสี่ยงขาดสารอาหาร
- กินอาหารได้น้อยจนร่างกายอ่อนเพลีย
- มีอาการอาเจียน จุกแน่นบ่อย ๆ
- สุขภาพในระยะยาวจะแย่ลง
6. สิ่งที่คุณสามารถเลือกได้
- ปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีการผ่าตัดที่เหมาะสมกับเป้าหมายและสุขภาพ
โรคอ้วนสามารถรักษาให้หายและกลับมามีสุขภาพพร้อมรูปร่างที่ดีขึ้นได้ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคร่วมจากภาวะอ้วน หากพบว่าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหรือมีรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไป ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและหาแนวทางรักษาภาวะน้ำหนักเกินที่ตรงจุด ซึ่งที่ศูนย์ให้คำแนะนำผ่าตัดส่องกล้องและการลดน้ำหนัก MSC Healthcare เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาเพื่อรักษาภาวะน้ำหนักเกินให้เหมาะสมแต่ละบุคคล
- วางแผนร่วมกับทีมแพทย์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในระยะยาว
การผ่าตัดส่องกล้องรักษาภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกิน ที่ MSC Healthcare พิจารณาจากผู้ป่วย ค่าดัชนีมวลกาย และความเสี่ยงของโรคร่วมเป็นหลักสำคัญ เพื่อเลือกวิธีรักษาที่ปลอดภัยและได้ผลดีที่สุด เพราะเรามุ่งเน้นการรักษามากกว่าเรื่องความงาม ทุกเคสจึงต้องปลอดภัยมากที่สุด และด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยพร้อมทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ การผ่าตัดผ่านกล้องรักษาโรคอ้วนที่ MSC Healthcare ผู้ป่วยมั่นใจได้เลยว่า แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว และได้รับคำแนะนำหลังผ่าตัดที่เหมาะสมเพื่อการลดน้ำหนักได้อย่างยั่งยืน

จริงหรือ ? ผ่าตัดกระเพาะไปแล้วต้องกินวิตามินตลอดชีวิต
การกินวิตามินหลังผ่าตัดกระเพาะอาหาร เป็นสิ่งจำเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดกระเพาะที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงปีแรก เพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหารและช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดี หลังจากผ่าตัดผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และนักโภชนาการอย่างเคร่งครัด และเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อติดตามระดับวิตามินเป็นประจำตามที่นัดหมาย
- กระเพาะที่เล็กลง
กินอาหารในปริมาณอาหารที่ลดลง ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหลังผ่าตัด เพราะหลังผ่าตัดกระเพาะจะมีขนาดเล็กลงกว่าขนาดเดิมมาก ทำให้ผู้ป่วยกินอาหารได้น้อยลงกว่าปกติมาก จึงเป็นเรื่องยากที่จะได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นอย่างครบถ้วนจากอาหารเพียงอย่างเดียว
- ระบบการดูดซึมบางส่วนเปลี่ยนไป (โดยเฉพาะการผ่าตัดแบบ Gastric Bypass Surgery)
ระบบดูดซึมสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามินดี อาจลดลง เพราะหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหาร จะส่งผลกระทบต่อระบบการย่อยและการดูดซึมอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผ่าตัดแบบบายพาสกระเพาะอาหาร (Gastric Bypass Surgery) ที่มีการตัดต่อลำไส้ ทำให้ลำไส้ส่วนที่ทำหน้าที่ดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดถูกข้ามไป
- ป้องกันภาวะขาดสารอาหารในระยะยาว
หากไม่กินวิตามินเสริมอย่างสม่ำเสมอ ผู้ป่วยอาจประสบภาวะขาดสารอาหารที่จำเป็นในระยะยาวได้ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง เช่น
โลหิตจาง (Anemia) : จากการขาดวิตามิน B12และธาตุเหล็ก ซึ่งอาจทำให้มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และผิวซีดกระดูกพรุน (Osteoporosis) : จากการขาดแคลเซียมและวิตามิน D ทำให้กระดูกเปราะและหักง่ายปัญหาทางระบบประสาท : จากการขาดวิตามิน B1 และ B12 อย่างรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้สึกชาตามปลายมือปลายเท้า หรือปัญหาด้านความจำและการทรงตัว
- การผลิตกรดในกระเพาะลดลง = ย่อยวิตามินได้ไม่เต็มที่
แล้วต้องกินตลอดชีวิตจริงไหม ?
1. กรณีผ่าตัดแบบ Sleeve Gastrectomy Surgery
อาจต้องกินวิตามินแค่ช่วง 6 – 12 เดือนแรก แต่ไม่เข้มงวดเท่า Gastric Bypass เพราะระบบดูดซึมยังคงปกติพอสมควร หากผลเลือดมีความปกติและสามารถกินอาหารได้ครบถ้วน ก็อาจจะหยุดวิตามินหรืออาหารเสริมได้ตามคำแนะนำของแพทย์
2. กรณีผ่าตัดแบบ Gastric Bypass Surgery
มีโอกาสขาดสารอาหารมากกว่า จึงมักจำเป็นต้องกินวิตามินต่อเนื่องระยะยาว เนื่องจากร่างกายดูดซึมอาหารได้ลดลงมาก หรือบางกรณีต้องกินตลอดชีวิตในบางราย และแพทย์จะติดตามผลเลือดเป็นระยะ เพื่อปรับวิตามินให้เหมาะสมกับแต่ละคน
วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นหลังผ่าตัด
- วิตามินรวม (Multivitamin) : เพื่อให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่หลากหลาย
- วิตามิน B12 : จำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดแดงและระบบประสาท
- ธาตุเหล็ก (Iron) : สำคัญสำหรับการสร้างเม็ดเลือดแดง โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีประจำเดือน
- แคลเซียม (Calcium) และ วิตามิน D : จำเป็นสำหรับสุขภาพกระดูก
- สังกะสี (Zinc) และ ทองแดง (Copper) : เป็นแร่ธาตุจำเป็นที่อาจขาดในบางรายได้
หลังผ่าตัดกระเพาะดื่มน้ำเย็นได้ไหม ?
ระยะแรกหลังผ่าตัด (1 – 2 สัปดาห์แรก หลังผ่าตัด)
- ช่วงแรกแนะนำให้ดื่มน้ำอุณหภูมิห้องหรือน้ำอุ่น เพื่อให้กระเพาะปรับตัวได้ดี
- หากต้องการดื่มน้ำเย็น ควรเริ่มจากน้ำเย็นเล็กน้อยก่อน แล้วสังเกตอาการตนเองอีกครั้ง
- เครื่องดื่มเย็นจัด แพทย์ไม่แนะนำในช่วงแรกหลังการผ่าตัดเพราะกระเพาะยังบอบบาง กำลังฟื้นตัวและปรับตัวกับขนาดใหม่ ส่วนน้ำเย็นจัดอาจทำให้รู้สึก จุก แน่น เจ็บแผลในช่องท้อง
- ควรจิบน้ำทีละน้อย ๆ ไม่ควรดื่มรวดเดียวในปริมาณมาก
ระยะหลังจากพักฟื้น (ประมาณ 1 เดือน ขึ้นไป)
- สามารถลองดื่มน้ำในอุณหภูมิต่าง ๆ เพื่อดูว่าแบบไหนที่ร่างกายทนได้ดี เช่น น้ำเย็นจัด น้ำเย็น น้ำอุณหภูมิห้องและน้ำอุ่น บางคนทนอาหารและเครื่องดื่มอุ่นได้ดีกว่าเย็น แต่ส่วนใหญ่สามารถกลับมาดื่มน้ำเย็นได้ตามปกติ
- ควรสังเกตอาการของตัวเอง หากหลังจากดื่มน้ำเย็นแล้วมีอาการจุก แน่น หรือไม่สบายท้อง เบื้องต้นควรลดอุณหภูมิลง
- หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหาร ให้ดื่มก่อนหรือหลังอาหารอย่างน้อย 30 นาที ดื่มน้ำ 1,500 – 2,000 มล. ต่อวัน (ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์)
- แนะนำให้เลือกดื่มน้ำเปล่าเป็นหลัก และหลีกเลี่ยงน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพราะจะทำให้น้ำหนักขึ้นได้ง่าย
- หากเบื่อรสชาติของน้ำเปล่า สามารถเติมรสธรรมชาติ เช่น มะนาว มะกรูด ฯลฯ ลงไปได้
เหตุผลที่ควรเลี่ยงน้ำเย็นหลังผ่าตัด
- ทำให้รู้สึกไม่สบายท้องหรือปวดเกร็ง
ในระยะแรก กระเพาะอาหารที่ถูกตัดออกไปจะอยู่ในระหว่างการฟื้นตัว ทำให้มีความบอบบางมากกว่าปกติ การดื่มน้ำเย็นจัดหรือเครื่องดื่มที่อุณหภูมิต่ำมาก ๆ อาจกระตุ้นให้กล้ามเนื้อกระเพาะอาหารหดตัวเล็กลงและไวต่ออุณหภูมิ ทำให้รู้สึกปวดเกร็ง จุกแน่น ไม่สบายท้อง หรือเกิดอาการคลื่นไส้ได้
- ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วเกินไป
น้ำเย็นจะทำให้กระเพาะอาหารที่เพิ่งผ่าตัดหดตัวและพื้นที่ว่างในกระเพาะอาหารจะเต็มเร็วขึ้น ทำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ (Dehydration) ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสัปดาห์แรก ๆ ที่จำเป็นต้องเริ่มปรับตัวให้จิบน้ำบ่อย ๆ ตลอดวัน แต่ต้องระวังหากดื่มน้ำเร็วเกินไปหรือดื่มพร้อมอาหาร อาจทำให้เกิดอาการอาเจียนหรือคลื่นไส้ตามมาได้
- รบกวนการย่อยอาหาร
แม้จะไม่ใช่สาเหตุหลัก แต่ในช่วงที่ร่างกายกำลังฟื้นตัวการดื่มน้ำเย็นจัดก็อาจส่งผลต่อการทำงานของระบบย่อยอาหารได้เล็กน้อย เพราะน้ำเย็นจัดอาจกระตุ้นให้กระเพาะหดตัว ส่งผลให้รู้สึกไม่สบายท้อง และหลังผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักช่วงแรกควรเลี่ยงน้ำเย็นจัด เพื่อป้องกันการจุกและเจ็บแผล
ไม่ใช้หลอดดูดน้ำ ไม่ดื่มเครื่องดื่มมีก๊าซ ไม่เคี้ยวน้ำแข็ง เพราะอาจทำให้มีอากาศเข้าสู่กระเพาะและเกิดอาการไม่สบายท้อง

หลังผ่าตัดกระเพาะกินอาหารเผ็ดได้ไหม ?
- กระตุ้นการผลิตกรด
อาหารรสจัดหรือรสเผ็ด อาจไปกระตุ้นการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ แสบร้อนกลางอก หรือไม่สบายท้องได้ง่าย
- ระคายเคืองกระเพาะอาหาร
เนื้อเยื่อกระเพาะอาหารที่เพิ่งถูกผ่าตัดยังมีความบอบบางและอ่อนแอหลังผ่าตัด การกินอาหารเผ็ดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่ายกว่าปกติ
- ความรู้สึกไม่สบายท้อง
แม้จะไม่มีผลเสียร้ายแรง แต่ในบางคนการกินอาหารเผ็ดอาจทำให้อิ่มเร็วเกินไป ท้องเสีย หรือปวดท้องได้ หากกินเผ็ดมากเกินไป อาจกระตุ้นให้เกิดการอาเจียน ซึ่งเสี่ยงต่อการทำให้แผลผ่าตัดรั่วได้
กินอาหารเผ็ดได้ไหมหลังผ่าตัดกระเพาะ ?
ช่วงแรกหลังผ่าตัด (1 – 2 เดือนแรก)
- ไม่ควรกินอาหารเผ็ดเลย
- ช่วงนี้ควรเน้น อาหารอ่อน รสจืด ย่อยง่าย เป็นหลัก
- กระเพาะยังบอบบางและอยู่ในช่วงสมานแผล อาหารรสจัดอาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ปวดท้อง หรือกรดไหลย้อนได้
ช่วงฟื้นตัว (ประมาณ 2 – 3 เดือนขึ้นไป)
- เริ่มลองอาหารเผ็ดอ่อน ๆ ได้ เช่น ซุปใสใส่พริกไทยเล็กน้อยหรือต้มยำไม่เผ็ดจัด
- สามารถลองกินทีละน้อย แต่ถ้ามีอาการจุก แน่น แสบท้อง ให้หยุดทันที
- ควรหลีกเลี่ยงพริกสด พริกป่นจำนวนมาก เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน
ช่วงหลัง 6 เดือนขึ้นไป (เมื่อกินอาหารปกติได้แล้ว)
- สามารถกินอาหารเผ็ดได้ใกล้เคียงปกติ แต่กินเผ็ดจัดมาก ๆ อาจทำให้ ท้องเสีย ปวดท้อง หรืออาเจียน ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
- ผู้ที่มีประวัติกรดไหลย้อน ควรหลีกเลี่ยงอาหารเผ็ด เพราะจะทำให้อาการกำเริบ
เคล็ดลับถ้าอยากกินอาหารเผ็ด
- ลองใช้สมุนไพรที่ให้รสเผ็ดอ่อนแทน เช่น ขิง ตะไคร้ แทนพริกสด
- หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดที่มีน้ำมันเยอะหรือรสจัด เช่น เผ็ด เปรี้ยว เค็ม เพราะย่อยยาก
- เลี่ยงการกินเผ็ดร่วมกับกาแฟหรือแอลกอฮอล์ เพราะจะยิ่งกระตุ้นกรดไหลย้อน
สายบุพ ชาบู หมูกะทะ หลังผ่าตัดก็ยิ้มได้
เพราะหมูกะทะจะเยียวยาทุกสิ่ง หลังผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักแล้ว ยังสามารถกินอาหารเหล่านี้ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับระยะเวลาหลังการผ่าตัดและวิธีการเลือกกิน โดยต้องปฏิบัติตามแผนโภชนาการที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เพราะกระเพาะที่มีขนาดเล็กลงและระบบย่อยอาหารเปลี่ยนไป การกินแบบบุฟเฟต์ที่เน้นปริมาณและความหลากหลาย อาจทำให้เกิดอาการไม่สบายท้องได้ เมื่อร่างกายฟื้นตัวเต็มที่ก็สามารถกลับไปกินอาหารปกติได้แล้ว แต่ต้องมีวินัยและปรับวิธีการกินอย่างมากเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ที่สุด
ระยะเวลาหลังผ่าตัดมีผล
ช่วงแรกหลังผ่าตัด (1 – 3 เดือนแรก)
- ช่วงนี้กระเพาะอาหารยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวและปรับสภาพ ผู้ป่วยต้องกินอาหารตามระยะที่แพทย์และนักโภชนาการกำหนดไว้เท่านั้น ได้แก่ อาหารเหลวใส อาหารเหลวข้น และอาหารอ่อนบดละเอียด
- ระยะนี้ ไม่ควรกินชาบู บุฟเฟต์ หรือหมูกระทะเลย เพราะระบบย่อยยังปรับตัวไม่เต็มที่และยังบอบบาง
- ถ้าฝืนกินเนื้อย่างหรืออาหารชิ้นใหญ่ อาจทำให้ แน่น อาเจียน หรือเจ็บแผลได้
ช่วงหลังผ่าตัด 3 – 6 เดือนขึ้นไป (เมื่อเริ่มกินอาหารปกติได้แล้ว)
หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนและแพทย์อนุญาตสามารถเริ่มกินได้แบบจำกัดและระมัดระวัง เมื่อร่างกายปรับตัวได้ดีแล้ว และเริ่มกินอาหารปกติได้ในปริมาณที่จำกัด สามารถเริ่มกลับไปกินอาหารเหล่านี้ได้บ้าง แต่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ดังนี้
- เปลี่ยนวิธีการกิน : ลืมไปได้เลยว่าคุณจะกินได้คุ้มค่าเหมือนเดิม เพราะกระเพาะของคุณจะไม่สามารถรองรับอาหารปริมาณมาก ๆ ได้อีกเหมือนก่อนผ่าตัดกระเพาะ
- เน้นโปรตีนเป็นอันดับแรก : ไม่ว่าจะเป็นชาบูหรือหมูกะทะ สิ่งที่ควรตักเป็นอันดับแรกและกินจนอิ่มคือเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน เช่น เนื้อปลา เนื้อไก่ เนื้อกุ้ง หรือเนื้อหมูสันใน ควรต้มหรือย่างให้สุกดี และหลีกเลี่ยงเนื้อติดมันหรือเบคอน
- กินช้า ๆ และเคี้ยวให้ละเอียด : นี่คือกฎเหล็กสำหรับคนผ่าตัดกระเพาะ เพื่อป้องกันอาการแน่น อึดอัด หรืออาเจียน ควรเคี้ยวอาหารแต่ละคำอย่างน้อย 20 – 30 ครั้ง
- หลีกเลี่ยงของมัน ของทอด ของหวาน และน้ำอัดลม : อาหารเหล่านี้มีแคลอรีสูง แต่ไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการ และอาจทำให้เกิดอาการไม่สบายท้องได้ง่าย
- เลือกน้ำซุปใส : สำหรับชาบู ควรเลือกน้ำซุปที่ใส ไม่มัน และไม่เข้มข้นจนเกินไป เพื่อลดปริมาณโซเดียมและไขมัน
- งดเครื่องดื่มระหว่างมื้อ : ควรดื่มน้ำก่อนหรือหลังอาหารประมาณ 30 นาที และไม่ควรดื่มน้ำพร้อมอาหาร เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและกินอาหารหลัก (โปรตีน) ได้น้อยลง
- เลือกผักที่ย่อยง่าย : ควรเลือกผักที่ต้มสุกเปื่อยแล้วและกินในปริมาณที่พอเหมาะ
- หลีกเลี่ยงน้ำจิ้มรสจัด : น้ำจิ้มใช้แต่น้อย เพราะอาจระคายเคืองกระเพาะน้ำตาลและโซเดียมสูง
ผ่าตัดกระเพาะในกรุงเทพฯ
การตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดกระเพาะเป็นเรื่องสำคัญ แม้ว่าจะมีความปลอดภัยสูงแต่เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนและดูความเหมาะสมของแต่ละคน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเสี่ยงก่อนการผ่าตัด และได้รับคำแนะนำเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนและหลังผ่าตัด เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมรูปร่างที่สมส่วนและลดความเสี่ยงจากโรคร่วมที่มาพร้อมกับภาวะอ้วนได้
สำหรับท่านที่มีความกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำหนักเกิน หรือมีภาวะอ้วน ที่ MSC Healthcare เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมให้คำปรึกษาและหาวิธีรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน โดยการผ่าตัดลดกระเพาะแบบบายพาสที่ MSC Healthcare เราให้ความสำคัญกับผลการรักษามากกว่าด้านความงาม ด้วยเทคนิคการผ่าตัดส่องกล้องที่ให้แผลขนาดเล็ก เจ็บน้อย และฟื้นตัวเร็ว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยทุกเคสของเรา
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายได้ที่
โทร. 065-509-4459
Line : @msc.healthcare