
อย่าเพิ่งสิ้นหวัง “มะเร็งปอด” โรคที่หลาย ๆ คน กลัวและกังวล เป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่อันตรายและมีอัตราการเสียชีวิตสูงมากที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมกระตุ้นความเสี่ยงหรือมีคนในครอบครัว ญาติที่เป็นโรคนี้ และคำถามที่ถูกถามบ่อยที่สุด คือ “มะเร็งปอดรักษาหายไหม ?” ในปัจจุบัน หากมีการตรวจพบเจอในระยะแรก ๆ และได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โอกาสที่จะรักษาหายมีสูงมาก

มะเร็งปอด โรคร้ายติดอันดับเสียชีวิตในไทย
“มะเร็งปอด” เป็นหนึ่งในมะเร็งอันดับต้น ๆ 1 ใน 5 อันดับแรกของโรค ที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุด รวมถึงมีจำนวนคนเสียชีวิตมากที่สุดในประเทศไทยของโรคมะเร็งทั้งหมดอีกด้วย และสถิติแสดงว่าผู้ป่วยมะเร็งปอดในไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามารถเกิดได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง ทั้งจากการสูบบุหรี่และมลพิษในอากาศ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์เมื่อเข้าสู่ระยะลุกลามแล้ว เพราะอาการเริ่มต้นมักไม่แสดงออกอย่างชัดเจน ทำให้การรักษายากขึ้น
ดังนั้น การสังเกตและตระหนักรู้ถึงอาการเริ่มต้นในมะเร็งปอดจึงสำคัญอย่างมาก แม้จะมีความก้าวหน้าทางการแพทย์ แต่การตรวจพบช้า ยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ในการรักษาให้หายขาด ซึ่งส่งผลต่อความยากง่ายในการรักษานั่นเอง
มะเร็งปอดเกิดจากอะไร ?
เกิดจากการที่เซลล์ปกติในปอดเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ผิดปกติและขยายตัวอย่างไม่มีการควบคุม จนกลายเป็นก้อนเนื้อร้าย (Tumor) ซึ่งสามารถทำลายเนื้อเยื่อปอดโดยรอบ และแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ โดยเซลล์มะเร็งเหล่านี้ เกิดจากการที่สารพันธุกรรม (DNA) ในเซลล์ปอดถูกทำลายหรือเกิดการกลายพันธุ์
ปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งปอด
- การสูบบุหรี่ ทั้งการสูบโดยตรงและการสูดควันบุหรี่มือสอง
- อายุมากกว่า 50 – 80 ปี เพราะอายุที่มากขึ้น อวัยวะรวมถึงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายจะยิ่งทำงานเสื่อมสภาพลง โดยผู้ที่เสี่ยงจะเป็นมะเร็งปอดมากที่สุด จะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 55 ปีขึ้นไป และมีพฤติกรรมที่สูบบุหรี่
- มลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่น PM2.5 แก๊สไอเสียจากรถยนต์
- การสัมผัสสารเคมี เช่น
- แร่ใยหิน นิยมใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง เช่น กระเบื้องหลังคา ท่อซีเมนต์ แต่ฝุ่นใยหินมีอันตรายมาก หากสูดดมเข้าไปเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดโรคปอดเรื้อรังตามมา
- ก๊าซเรดอน ที่อาจปนเปื้อนในวัสดุก่อสร้าง ทำให้เกิดการสะสมในอาคาร สำนักงานได้
- ประวัติครอบครัว มีญาติหรือคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งปอด
- โรคปอดเรื้อรัง เช่น ปอดอักเสบเรื้อรัง
- การรับประทานอาหารที่ขาดวิตามิน โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีน จะเพิ่มโอกาสการเป็นโรคมะเร็งปอดในกลุ่มผู้ชายที่สูบบุหรี่
“สาเหตุที่สำคัญที่สุด ยังคงเป็นการสูบบุหรี่ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 80 – 90%”
ระวัง! สัญญาณเตือนที่ไม่ใช่เรื่องไกลตัว
ธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา อาการเบื้องต้นของมะเร็งปอดที่เหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ ในระยะแรก อาจไม่ชัดเจน แต่หากคุณหรือคนในครอบครัว มีอาการเหล่านี้ต่อเนื่องนานเกิน 2 – 3 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์โดยด่วน หากมีอาการเบื้องต้น ดังนี้
- ไอเรื้อรัง นานเกิน 2 – 3 สัปดาห์ เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด
- ไอเป็นเลือด หรือเสมหะมีเลือดปน อาจมีลักษณะไอแห้ง ๆ หรือไอแบบมีเสมหะ แม้จะมีปริมาณเพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ
- เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หายใจสั้น หรือมีเสียงหวีด โดยเฉพาะเวลาหายใจเข้าลึก ๆ
- เสียงแหบผิดปกติ อยู่ ๆ ก็มีอาการ โดยไม่มีสาเหตุจากการใช้เสียงมาก
- น้ำหนักลด โดยไม่ทราบสาเหตุ
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียผิดปกติ กลืนอาหารลำบาก
- ปอดติดเชื้อบ่อยครั้ง เกิดจากการที่ “เชื้อโรค” เข้าสู่ร่างกายไปที่ปอด

ไม่สูบบุหรี่ก็เป็นมะเร็งปอดได้หรือ ?
แม้จะไม่สูบบุหรี่ก็ยังมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอดได้ ไม่ใช่เฉพาะผู้สูบบุหรี่เท่านั้น แต่การได้รับกลิ่นควันบุหรี่หรือมลพิษในอากาศ ก็เพิ่มความเสี่ยงได้เช่นกัน แม้กระทั่ง ผู้หญิงที่ไม่เคยสูบบุหรี่แต่เป็นมะเร็งปอดก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอด มีดังนี้
- ผู้หญิง มีแนวโน้มเป็นมะเร็งปอด แม้จะไม่สูบบุหรี่ในปริมาณมากขึ้น
- การสูดควันบุหรี่มือสอง จากคนรอบข้าง
- มลพิษทางอากาศ ในเมืองใหญ่หรือเมืองที่มีฝุ่น PM2.5 ในปริมาณที่มาก
- ปัจจัยทางพันธุกรรม หรือคนในครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งปอด
- การทำอาหารด้วยไฟแรงเป็นประจำ เช่น ควันจากการทอดหรือย่าง
ระยะไหนที่ลุกลามเร็วและไปยังอวัยวะใดมากที่สุด
ประเภทของมะเร็งปอด
- มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก – Small Cell Lung Cancer (SCLC)
คิดเป็น ประมาณ 15% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดทั้งหมด จะมีแนวโน้มการเติบโตและแพร่กระจายได้รวดเร็วกว่าชนิดเซลล์ไม่เล็กและมักกระจายไปอวัยวะอื่น ๆ มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับการสูบบุหรี่ การดมควันบุหรี่มือสอง และฝุ่น PM2.5
- มะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็ก – Non-Small Cell Lung Cancer (NSCLC)
คิดเป็น ประมาณ 85% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดทั้งหมด จะมีแนวโน้มการเติบโตและแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ช้ากว่า แต่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการรักษาทางการแพทย์ อย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม
อวัยวะที่มะเร็งปอดมักจะลุกลามไปมากที่สุด
- ตับ (30 – 50%)
- กระดูก (30 – 40%)
- สมอง (20 – 30%)
- ต่อมลูกหมากในช่องอก
- ไต และอวัยวะภายในอื่น ๆ
“มะเร็งปอดระยะที่ 3 และ 4 ถือเป็นระยะลุกลามเร็วที่สุด”
ต้องรู้เร็วแค่ไหน ? ถึงจะรักษาหาย
ขึ้นอยู่กับระยะที่ตรวจพบมะเร็ง หากตรวจพบในระยะที่ 1 หรือ 2 (Stage I-II) และเซลล์มะเร็งยังไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น โอกาสในการรักษาหายอย่างสมบูรณ์มีสูงมาก ดังนั้น การตรวจคัดกรองสุขภาพปอดสำหรับกลุ่มเสี่ยง และการไปพบแพทย์เมื่อมีอาการสงสัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ
การตรวจ CT Scan หรือเอกซเรย์ปอดจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการวินิจฉัย ดังนั้นการตรวจสุขภาพประจำปีและเอกซเรย์ปอดเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย
- ระยะที่ 1 (Stage I) อัตราการรอดชีวิต 5 ปี อยู่ที่ 60 – 80%
- ระยะที่ 2 (Stage II) อัตราการรอดชีวิต 5 ปี อยู่ที่ 40 – 60%
- ระยะที่ 3 (Stage III) อัตราการรอดชีวิต 5 ปี อยู่ที่ 15 – 30%
- ระยะที่ 4 (Stage IV) อัตราการรอดชีวิต 5 ปี อยู่ที่ 5 – 10%
“หากตรวจพบในระยะที่ 4 ซึ่งมะเร็งได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกายแล้ว การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การควบคุมโรคและยืดอายุผู้ป่วยให้ยาวนานที่สุด”

มะเร็งปอด แค่ผ่าตัดก็หายได้จริงหรือ ?
การรักษาไม่ได้ขึ้นอยู่กับการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว การผ่าตัดถือเป็นวิธีการรักษาหลัก ที่มีโอกาสทำให้โรคหายขาดได้ แต่จะได้ผลดีที่สุดคือการรักษาในผู้ป่วยระยะเริ่มต้น (ระยะที่ 1 – 2) และก้อนมะเร็งอยู่ในตำแหน่งที่สามารถผ่าตัดออกได้หมด แต่ต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การผ่าตัด เหมาะสำหรับ :
- มะเร็งระยะที่ 1 – 2 (Stage I-II)
- ผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรงพอที่จะผ่าตัด
- มะเร็งยังไม่แพร่กระจายไปอวัยวะอื่น ๆ
วิธีรักษาอื่น ๆ ที่อาจใช้ร่วมด้วย :
- การรักษาด้วยเคมีบำบัด (Chemotherapy)
เป็นการรักษาโดยการใช้ยาที่มีฤทธิ์ทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย ต่างจากการผ่าตัดซึ่งให้ผลเฉพาะที่ จึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งปอดที่หลงเหลือหรือมีการหลุดรอดไปยังอวัยวะอื่น ๆ ช่วยให้มีโอกาสหายขาดและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น
- การรักษาด้วยรังสี (Radiation Therapy)
เป็นการรักษาด้วยการใช้รังสีที่มีพลังงานสูง เพื่อหยุดยั้งการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง สำหรับกรณีมะเร็งที่ผ่าตัดไม่ได้หรือกรณีที่ต้องลดขนาดก้อนมะเร็งก่อนการผ่าตัด
- การรักษาแบบเป้าหมาย (Targeted therapy)
เป็นการรักษาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งให้หมดไป ซึ่งยามุ่งเป้าถูกออกแบบมาให้ออกฤทธิ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียง
- ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)
การกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง และทำลายเซลล์มะเร็งที่เป็นสิ่งแปลกปลอมได้โดยตรง ทำให้สามารถควบคุมเซลล์มะเร็งในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ก้อนมะเร็งยุบลง
Do you know ?
“มะเร็งปอด” กับ “วัณโรค” ต่างกันอย่างไร
แม้ทั้งสองโรคจะมีอาการคล้ายกัน เช่น
- ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด
- น้ำหนักลด เหนื่อยง่าย
- เจ็บหน้าอก
แต่ก็ยังมีความแตกต่างในเรื่องของที่มาของโรค ดังนี้
- วัณโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย รักษาหายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ มักมีไข้ เหงื่อออกตอนกลางคืน
- มะเร็งปอดเกิดจากเซลล์ผิดปกติ ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด เคมีบำบัด หรือรังสีรักษา ไม่ค่อยมีไข้
อย่าปล่อยให้ “มะเร็งปอด” คืบคลานมาโดยไม่รู้ตัว
ที่ศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง MSC Healthcare มีทีมแพทย์เฉพาะทางผู้ชำนาญการพร้อมให้คำปรึกษา เพื่อประเมินความเสี่ยงและวินิจฉัยเพิ่มเติม พร้อมแนะนำแนวทางรักษาเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายได้ที่
Line : @msc.healthcare
โทร. 065-509-4459