
เมื่อมีความเจ็บป่วยจากระบบทางเดินหายใจ หนึ่งในอาการพบบ่อยคืออาการไอเรื้อรัง ซึ่งไม่เพียงแค่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตเท่านั้น แต่ยังสร้างความรำคาญให้กับผู้คนใกล้เคียง อีกทั้งการไอเรื้อรัง ยังเป็นสัญญาณเตือนเกี่ยวกับอาการโรคปอดอีกด้วย การหาสาเหตุของอาการไอ และรักษาอย่างเหมาะสมตามสาเหตุจึงเป็นวิธีที่ช่วยลดการลุกลามของโรคได้
อาการไอเรื้อรังคืออะไร? แบบไหนที่ไม่ควรมองข้าม
ไอเรื้อรัง คืออาการไอต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งบางรายอาจไอนานเป็นเดือน ส่งผลให้เกิดปัญหาต่อการใช้ชีวิต เช่น รบกวนการนอน รู้สึกไม่สดชื่น หากเป็นการไอเรื้อรังที่รุนแรง อาจทำให้กระดูกซี่โครงหัก วิงเวียน และคลื่นไส้ได้

ไอกี่วันถึงเรียกว่า “เรื้อรัง”
โดยทั่วไป เด็กที่ไอติดต่อกันนานเกิน 4 สัปดาห์ และผู้ใหญ่ที่ไอต่อเนื่องเกิน 8 สัปดาห์ จัดว่าเป็นอาการไอเรื้อรัง
ลักษณะของอาการไอที่ควรระวัง
อาการไอที่ต้องระวัง เช่น ไอแรงมากขึ้น ร่วมกับมีอาการเจ็บหน้าอก อาการแบบนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคปอดที่ไม่ควรมองข้าม
เหนื่อยง่าย หายใจติดขัด เป็นแค่ผลข้างเคียงของหวัดหรือสัญญาณอันตราย?
เมื่อเป็นหวัด มักมีอาการไอตามมา หากอาการไอยังคงอยู่เป็นเวลานาน และมีอาการเหนื่อยง่ายหรือหายใจลำบากร่วมด้วย นั่นอาจไม่ใช่แค่ผลข้างเคียงจากหวัด แต่อาจเป็นสัญญาณของโรคปอดที่ต้องได้รับการวินิจฉัยเพิ่มเติม
หายใจเหนื่อยจากหวัด VS โรคปอด
อาการเหนื่อยหอบที่เกิดจากหวัด และโรคปอด นั้นมีความแตกต่างกัน ดังนี้
- อาการเหนื่อยหอบจากหวัด : เกิดจากการอักเสบของทางเดินหายใจส่วนบน เช่น จมูก คอ หลอดลม อาจมีน้ำมูก ไอ หรือคัดจมูกร่วมด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะรู้สึกเหนื่อยหอบจากอาการแน่นจมูก และมักจะไม่ค่อยเกิดอาการเมื่ออยู่เฉย ๆ หรือขณะนอนราบ
- อาการเหนื่อยหอบจากโรคปอด : เกิดจากความผิดปกติของเนื้อปอด ถุงลม หรือหลอดลม เช่น การติดเชื้อ การอุดกั้น หรือโรคเรื้อรัง ลักษณะอาการเหนื่อยหอบเหมือนลมหายใจที่เข้าไปไม่พอ ไม่ใช่แค่จากการคัดจมูก อาจมีอาการขณะที่นอนราบ บางคนต้องใช้วิธีนั่งพิงเพื่อลดอาการ
เมื่อไรที่เหนื่อยง่ายควรรีบไปหาหมอ
หากมีอาการเหนื่อยหอบที่รุนแรงมากขึ้น จำเป็นต้องรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยโรคทันที โดยเฉพาะอาการเหนื่อยหอบที่เกิดขึ้นระหว่างพัก นอนราบ หรือไม่มีความเจ็บป่วยของโรคหวัด เพราะอาจเป็นอาการโรคปอดที่ปล่อยไว้ยิ่งมีความเสี่ยงถึงขั้นระบบหายใจล้มเหลว
อาการเหนื่อยหอบจาก ภาวะอ้วน อีกหนึ่งเรื่องอันตรายที่ต้องระวัง
สัญญาณที่อาจบ่งบอกว่า “ไม่ใช่แค่หวัด”
เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่รวดเร็วและลดความเสี่ยงต่อการลุกลามของโรค เมื่อพบสัญญาณความผิดปกติเหล่านี้ นั่นอาจเป็นอาการของโรคปอดที่ต้องพบแพทย์
1. ไอแห้งเรื้อรัง มีเสมหะ หรือมีเลือดปน
อาการไอแห้ง ๆ เรื้อรัง มีเสมหะหรือเลือดปน อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ และวัณโรคปอด อาการเหล่านี้มักทำให้รู้สึกเหนื่อยหอบ มีปัญหาในการหายใจ หรือหายใจเข้าได้ไม่เต็มอิ่ม
2. หายใจมีเสียงวี๊ด แน่นหน้าอก
อาการหายใจมีเสียงวี๊ด รู้สึกแน่นหน้าอก หายใจลำบาก ร่วมกับไอเรื้อรัง อาจเกิดได้จากทั้งโรคหอบหืด และปอดติดเชื้อ
3. น้ำหนักลด อ่อนเพลีย เบื่ออาหารร่วมด้วย
สำหรับผู้ที่มีอาการไอเรื้อรัง หายใจเหนื่อยหอบ ร่วมกับอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และน้ำหนักตัวลดลงผิดปกติ อาการเหล่านี้นอกจากจะพบได้ในกลุ่มผู้ป่วยโรคปอด ยังอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคมะเร็งปอดอีกด้วย

โรคปอดที่พบบ่อยในผู้ที่มีอาการไอเรื้อรังและหายใจเหนื่อยง่าย
อาการไอเรื้อรังและหายใจเหนื่อยง่ายเป็นสัญญาณที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคปอดเรื้อรังหรือโรคที่รุนแรงกว่านั้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีมลพิษ ซึ่งโรคปอดที่พบบ่อย ได้แก่
1. หลอดลมอักเสบเรื้อรัง
โรคหลอดลมอักเสบ เป็นหนึ่งในกลุ่มโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ที่เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุหลอดลมซ้ำ ๆ จนมีการสร้างเสมหะมากขึ้น ทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบลง ผู้สูบบุหรี่จัด และทำงานในโรงงานที่มีการฟุ้งกระจายของฝุ่น ยิ่งมีความเสี่ยง
ลักษณะอาการ
- ไอมีเสมหะทุกวันนานกว่า 3 เดือนใน 1 ปี และเป็นแบบนี้ติดต่อกัน 2 ปีขึ้นไป
- ไอมากช่วงเช้า
- เหนื่อยง่าย โดยเฉพาะเวลาออกแรง
2. ปอดอุดกั้นเรื้อรัง
กลุ่มของโรคปอดเรื้อรังที่มีการอุดกั้นของทางเดินหายใจ ได้แก่ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง และถุงลมโป่งพอง ผู้ป่วยมักมีประวัติสูบบุหรี่ยาวนาน เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องรักษาแบบประคับประคองเพื่อไม่ให้โรคมีความรุนแรงจนถึงขั้นหัวใจล้มเหลว
ลักษณะอาการ
- ไอเรื้อรังพร้อมเสมหะ
- หายใจมีเสียงวี๊ด แน่นหน้าอก
- เหนื่อยง่ายแม้ทำกิจกรรมเบา ๆ
3. วัณโรคปอด
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ติดต่อผ่านทางลมหายใจ ในช่วงแรกจะไม่แสดงอาการที่ชัดเจน การวินิจฉัยจึงต้องใช้วิธีเอกซเรย์ปอด และต้องรักษาด้วยการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง
ลักษณะอาการ
- ไอเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ โดยเฉพาะไอมีเสมหะปนเลือด
- ไข้ต่ำตอนเย็น เหงื่อออกกลางคืน
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
4. มะเร็งปอด
มะเร็งปอด คือหนึ่งในโรคมะเร็งที่มักพบในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่สูบบุหรี่มาเป็นเวลานาน ในระยะแรกของโรคมักไม่แสดงอาการ แต่การตรวจสุขภาพประจำปีอาจช่วยให้ตรวจพบได้เร็วขึ้น
ลักษณะอาการ
- ไอเรื้อรังโดยไม่มีเสมหะ หรือมีเสมหะปนเลือด
- หายใจลำบาก น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ
- เจ็บหน้าอก หรือกลืนอาหารลำบาก
5. โรคหอบหืดในผู้ใหญ่
หอบหืดไม่ใช่โรคของเด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่ก็สามารถเกิดโรคหอบหืดได้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีอาการภูมิแพ้ ซึ่งมักจะเกิดอาการขึ้นเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่กระตุ้น เช่น ฝุ่นละออง และความเปลี่ยนแปลงของอากาศ
ลักษณะอาการ
- ไอเรื้อรัง โดยเฉพาะตอนกลางคืนหรือหลังออกแรง
- หายใจมีเสียงวี๊ด แน่นหน้าอก
- อาการเป็น ๆ หาย ๆ หรือกำเริบในบางช่วงฤดูกาล
การตรวจวินิจฉัยโรคปอดทำอย่างไร?
อาการไอเรื้อรัง เหนื่อยง่าย หรือแน่นหน้าอก อาจไม่ใช่แค่หวัดธรรมดา เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคปอดที่รุนแรงกว่านั้น การวินิจฉัยที่แม่นยำและรวดเร็วจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพื่อให้สามารถรักษาได้ตรงจุด และลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน โดยวิธีตรวจวินิจฉัยโรคปอดสามารถได้ ดังนี้
ตรวจปอดด้วย X-ray, CT Scan หรือ Spirometry
การตรวจความผิดปกติของปอด ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยในการตรวจวินิจฉัยโรค แบ่งเป็น 3 วิธี ได้แก่
- เอกซเรย์ปอด (Chest X-ray) : เป็นการตรวจเบื้องต้นที่ช่วยให้แพทย์มองเห็นโครงสร้างของปอด หลอดลม ช่องอก และหัวใจ ใช้ในการประเมินว่ามีภาวะปอดอักเสบ วัณโรค หรือความผิดปกติอื่น ๆ หรือไม่
- เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) : ให้ภาพละเอียดกว่าการเอกซเรย์ธรรมดา โดยสามารถเห็นรายละเอียดของเนื้อเยื่อปอด หลอดเลือด หรือเนื้องอกขนาดเล็กที่การ X-ray อาจมองไม่เห็น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการเรื้อรัง หรือต้องการประเมินความรุนแรงของโรค ส่วนใหญ่จะใช้ในการวินิจฉัยมะเร็งปอด วัณโรค หรือโรคพังผืดในปอด
- การตรวจสมรรถภาพปอด (Spirometry) : ใช้วัดความสามารถในการหายใจ เช่น ปริมาณลมที่หายใจเข้าออก หรือแรงหายใจ จากนั้นแพทย์จะนำค่าที่วัดได้ไปใช้วินิจฉัยโรค เช่น COPD หรือหอบหืด เป็นวิธีที่เหมาะกับผู้ที่มีอาการเหนื่อยหอบง่าย
ตรวจเสมหะหรือเลือดเพิ่มเติมในบางกรณี
ใช้ในกรณีที่สงสัยว่าอาจมีการติดเชื้อ เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ หรือการติดเชื้อรุนแรง โดยแพทย์จะทำการตรวจเสมหะเพื่อหาเชื้อแบคทีเรีย บางกรณีอาจมีการตรวจเลือดเพิ่มเติมเพื่อประเมินการติดเชื้อ
มีความกังวลจากอาการไอเรื้อรังอย่าปล่อยไว้ เลือก ปรึกษาแพทย์ ทันที

รักษาอย่างไรเมื่อพบว่าไม่ใช่แค่หวัด
เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าอาการไอเรื้อรังหรือหายใจเหนื่อยง่ายเกิดจาก “โรคปอด” ไม่ใช่เพียงหวัดธรรมดา แนวทางการรักษาจะต้องพิจารณาตามชนิดของโรคและระดับความรุนแรง เพื่อให้การดูแลรักษามีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ดังนี้
1. รักษาตามสาเหตุของโรค
วิธีรักษาที่แพทย์จะประเมินจากสาเหตุ อาการ และการวินิจฉัยอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถจ่ายยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วย โดยแบ่งเป็นแนวทางการรักษา ดังนี้
ยาปฏิชีวนะ
ใช้ในกรณีที่โรคมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ปอดอักเสบ, วัณโรคปอด หรือการติดเชื้ออื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับการอักเสบของปอด โดยต้องรับประทานยาตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องจนครบ เพื่อป้องกันภาวะดื้อยา
ยาขยายหลอดลม
ใช้ในผู้ป่วยโรคหอบหืด หรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อรอบหลอดลมคลายตัว ลดอาการหายใจลำบาก
ยาต้านการอักเสบ
ในบางกรณี เช่น หลอดลมอักเสบเรื้อรัง หรือหอบหืด แพทย์อาจสั่งยากลุ่ม Corticosteroids เพื่อลดการอักเสบภายในทางเดินหายใจ
การรักษาเฉพาะโรค
หากตรวจพบเนื้องอกหรือมะเร็ง อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด เคมีบำบัด หรือการฉายรังสี ขึ้นอยู่กับระยะของโรคและการประเมินจากทีมแพทย์เฉพาะทาง
2. การเลิกบุหรี่และหลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศ
บุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุดของโรคปอดเรื้อรัง มะเร็งปอด และการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ การเลิกบุหรี่ไม่เพียงช่วยชะลอการลุกลามของโรค แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยารักษาอีกด้วย นอกจากนี้ การหลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่น PM2.5 ควันพิษจากการจราจร หรือการเผาในที่โล่ง หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ควรสวมหน้ากากอนามัยชนิด N95 และพยายามอยู่ในอาคารที่อากาศถ่ายเทสะดวก
3. การติดตามอาการระยะยาวและตรวจสุขภาพปอดสม่ำเสมอ
การรักษาโรคปอดไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้ยาเท่านั้น แต่ต้องควบคู่ไปกับการติดตามอาการและประเมินประสิทธิผลของการรักษาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะมีขั้นตอนดังนี้
ตรวจสมรรถภาพปอด
การประเมินความสามารถในการหายใจ เพื่อดูว่าการรักษาได้ผลมากน้อยเพียงใด และมีความจำเป็นต้องปรับยาหรือไม่
การเอกซเรย์หรือ CT Scan ปอด
ใช้เพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างปอดในผู้ป่วยที่มีโรคปอดเรื้อรัง หรือมีภาวะที่เสี่ยงต่อการพัฒนาเป็นมะเร็งปอด
ตรวจติดตามกับแพทย์เป็นระยะ
เพื่อประเมินอาการ ทบทวนการใช้ยา และให้คำแนะนำเพิ่มเติมในการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม
อย่าปล่อยให้ “ไอเรื้อรัง” เป็นเรื่องธรรมดา
อาการไอเรื้อรัง เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งโรคที่ไม่ร้ายแรงอย่าง หวัด หรือหลอดลมอักเสบ แต่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะไอเรื้อรัง อาจเป็นสัญญาณโรคปอดที่ร้ายแรงได้เช่นกัน ดังนั้น หากได้รับการรักษาเบื้องต้น หรือรับประทานยาแก้ไอแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการไอเรื้อรัง และให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะกับสาเหตุของอาการไอจะดีที่สุด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายได้ที่
โทร. 065-509-4459
Line : @msc.healthcare