อาการโรคหัวใจ

โรคหัวใจ หนึ่งในปัญหาสุขภาพที่คร่าชีวิตผู้คนได้ในหลายช่วงวัย และหลายครั้งก็เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว การรับรู้และเข้าใจถึงสัญญาณเตือนของร่างกายจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะอาการเหนื่อยง่ายและแน่นหน้าอกที่เกิดขึ้นได้บ่อย ซึ่งนั่นอาจเป็นสัญญาณโรคหัวใจที่ต้องระวัง และไม่ควรมองข้าม

โรคหัวใจ คืออะไร?

โรคหัวใจ (Heart disease) คือ กลุ่มโรคที่เกิดจากความผิดปกติของหัวใจ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้ง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคลิ้นหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคระบบไฟฟ้าหัวใจ ส่งผลให้หัวใจทำงานผิดปกติ ซึ่งสาเหตุและสัญญาณเตือนของโรคหัวใจอาจแตกต่างกันไป ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้ถึงความเสี่ยง อีกทั้งบางรายกว่าจะรู้ก็เมื่อโรคหัวใจแสดงอาการที่รุนแรงหรือเข้าขั้นวิกฤติแล้ว

สัญญาณเตือน อาการโรคหัวใจ

กลุ่มโรคหัวใจสำคัญ (Major Heart Diseases) “ต้นเหตุ” ของภาวะหัวใจผิดปกติ

สำหรับต้นเหตุที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจผิดปกตินั้น โดยส่วนใหญ่แล้วมาจากกลุ่มโรคหัวใจสำคัญ (Major Heart Diseases) ประกอบไปด้วย 5 โรคต่อไปนี้ 

1. โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease – CAD)

โรคที่มีการตีบตันของหลอดเลือดหัวใจทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย ซึ่งเป็นภาวะของโรคหัวใจที่ไม่สามารถบีบตัวเพื่อส่งเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้น ไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวานและความดัน ความเครียด หรือการสูบบุหรี่จัด โดยโรคหลอดเลือดหัวใจนั้นแบ่งได้ 2 ประเภท คือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเรื้อรัง

2. โรคลิ้นหัวใจ (Valvular Heart Disease)

โรคที่การทำงานของลิ้นหัวใจผิดปกติ อาจเกิดจากความเสื่อมสภาพตามอายุที่มากขึ้น มีภาวะของโรคหัวใจอื่น การติดเชื้อ หรือลิ้นหัวใจมีรูปร่างที่ผิดปกติ โรคนี้จะส่งผลต่อการทำงานของลิ้นหัวใจโดยตรง ทำให้ลิ้นหัวใจรั่ว ลิ้นหัวใจตีบ และสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งลิ้นหัวใจเดียวหรือหลายลิ้นร่วมกัน

3. โรคกล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiomyopathy)

โรคหัวใจที่เกิดการเสื่อมสมรรถภาพในการทำงานของกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นความผิดปกติจนทำให้หัวใจทำงานผิดปกติ ไม่สามารถบีบตัวและสูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ตามปกติ โดยสาเหตุเกิดได้จากทั้งพันธุกรรม การอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ โรคเรื้อรัง การดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลานาน และขาดสารอาหารที่จำเป็นบางชนิด โดยโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจแบ่งได้ 4 ประเภท ดังนี้

  • กล้ามเนื้อหัวใจขยายใหญ่และอ่อนแอ (Dilated Cardiomyopathy)
  • กล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ (Hypertrophic Cardiomyopathy) 
  • กล้ามเนื้อหัวใจแข็งและไม่สามารถยืดหยุ่นได้ตามปกติ (Restrictive Cardiomyopathy)
  • ภาวะที่เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจถูกแทนที่ด้วยไขมันและพังผืด (Arrhythmogenic Right Ventricular Cardiomyopathy)

4.  โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Disease)

โรคหัวใจที่มีความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจตั้งแต่กำเนิด และมีสัญญาณโรคหัวใจที่ชัดเจนในช่วงวัยเด็ก บางโรคจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดหรือบางกรณีแพทย์อาจใส่อุปกรณ์เข้าไปในห้องหัวใจเพื่อปรับโครงสร้างหัวใจให้ทำงานได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม โรคนี้จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยอย่างละเอียดเพื่อการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมกับผู้ป่วยมากที่สุด

5. โรคระบบไฟฟ้าหัวใจ (Electrical Conduction Disorders)

โรคที่เกิดความผิดปกติกับระบบไฟฟ้าหัวใจ ส่งผลให้จังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ เช่น บางคนอาจเต้นช้าผิดปกติ และบางคนอาจเต้นเร็วกว่าปกติ หรืออาจเต้นผิดจังหวะในบางช่วง ซึ่งความผิดปกติหากเป็นการต้นผิดจังหวะรุนแรงอาจส่งร้ายถึงขั้นเสียชีวิต หรือบางกรณีขั้นเสียชีวิต เช่น ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วก็อาจนำไปสู่การเกิดอัมพฤกษ์อัมพาตได้ 

โรคหัวใจ เป็นแล้วต้องรีบรักษา

ภาวะและกลุ่มอาการที่เกิดจากโรคหัวใจ (Cardiac Consequences & Manifestations)

เมื่อมีความเจ็บป่วยจากโรคหัวใจ สิ่งที่ตามมาคือภาวะความผิดปกติ และอาการเกี่ยวกับหัวใจ ซึ่งสามารถเกิดได้หลายกลุ่มอาการ ดังนี้ 

1. ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia)

ภาวะที่เกิดกระแสไฟฟ้าผิดปกติ หรือเกิดการลัดวงจรของระบบไฟฟ้าในหัวใจ ทำให้รู้สึกแน่นหน้าอก ใจสั่น รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติ โดยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดอาจทำให้เลือดตกค้าง และเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดสมองอุดตันได้

2.  ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure)

ภาวะหัวใจล้มเหลว เป็นภาวะที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้ตามปกติ ทำให้เลือดไหลกลับจนเกิดเลือดคั่งในร่างกาย มีน้ำคั่งในปอด และเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ผู้ที่มีภาวะนี้อาจรู้สึกแน่นหน้าอก เหนื่อยหอบ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต จึงต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

3. ภาวะช็อกจากหัวใจ (Cardiogenic Shock)

ภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดเพื่อลำเลียงไปยังอวัยวะส่วนต่าง ๆ ในร่างกายอย่างกะทันหัน ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง และอาจทำให้การทำงานของอวัยวะล้มเหลวได้ ซึ่งภาวะนี้อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาเป็นกรณีเร่งด่วน 

4. ภาวะหมดสติจากหัวใจ (Cardiac Syncope) 

สำหรับภาวะหมดสติเฉียบพลันจากหัวใจ เป็นภาวะที่สูญเสียการรับรู้สติ ซึ่งจะมีลักษณะอาการเฉพาะคือหมดสติแบบเฉียบพลัน บางกรณีอาจมีอาการหายใจช้าหรือหยุดหายใจ และร่างกายไม่มีการตอบสนอง โดยสาเหตุเป็นได้ทั้งจากโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และโรคหัวใจผิดปกติ 

โรคหัวใจ เป็นแล้วต้องรีบรักษา

สัญญาณเตือนโรคหัวใจ ที่ต้องระวัง!

โรคหัวใจบางชนิดอาจไม่แสดงอาการที่ชัดเจน การสังเกตความผิดปกติที่อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหัวใจต่อไปนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาที่รวดเร็วให้กับผู้ป่วยได้ 

  • แน่นหน้าอก : อาการแน่นหน้าอกจากโรคหัวใจ มักรู้สึกเหมือนมีของหนักทับ หรือมีอะไรมาบีบรัดหัวใจ และความเจ็บปวดอาจลามไปยังแขนซ้ายหรือกราม โดยอาการจะคงอยู่เพียงไม่กี่วินาทีไปจนถึงหลายนาที หรือเป็น ๆ หาย ๆ 
  • เหนื่อยง่าย : อาการที่รู้สึกหายใจลำบาก หรือหายใจไม่อิ่ม แม้ว่าจะทำกิจกรรมที่ไม่เคยเหนื่อยมาก่อน เช่น เดินขึ้นบันไดเพียงไม่กี่ขั้น เดินระยะสั้น หรือแม้ในขณะพักผ่อน อาการเหนื่อยง่ายอาจแย่ลงในท่านอนราบ ทำให้ต้องลุกขึ้นนั่งหรือใช้หมอนหนุนศีรษะให้สูงขึ้น
  • ใจสั่น : รู้สึกหัวใจเต้นผิดปกติ เต้นแรงหรือเต้นเร็วเกินไป บางครั้งอาจรู้สึกเหมือนเต้นช้าผิดปกติ เต้นไม่สม่ำเสมอ หรือมีจังหวะสะดุด ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกหน้ามืด หรือเป็นลมหมดสติ
  • ขาบวม หอบเมื่อนอนราบ : ภาวะที่หัวใจทำงานผิดปกติ ที่อาจเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจตายหรืออักเสบ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยสัญญาณเตือนที่ชัดเจน เช่น ขาบวมซึ่งเกิดจากภาวะคั่งของน้ำ อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ รู้สึกหายใจไม่สะดวกขณะนอนราบ หรือหายใจติดขัดจนต้องตื่นกลางดึกซึ่งเป็นภาวะที่เกิดจากน้ำท่วมปอด

มีอาการเจ็บหน้าอกบ่อย ๆ กังวลว่าจะเป็นโรคหัวใจ ปรึกษาแพทย์ ตอนนี้

ปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ

นอกจากการสังเกตสัญญาณของโรคหัวใจจากอาการแล้ว การทราบถึงปัจจัยเสี่ยงยังเป็นวิธีที่สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจได้ โดยเฉพาะปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้ 

1. ปัจจัยที่ควบคุมได้

ปัจจัยแรกเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมเพื่อลดความเสี่ยงได้ ประกอบไปด้วย 

  • การสูบบุหรี่จัด หรือสูบบุหรี่มาเป็นเวลานาน
  • โรคเบาหวาน หากอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ก็จะลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้ 
  • ความดันโลหิตสูง เช่นเดียวกับโรคเบาหวานหากอยู่ในระดับที่ควบคุมได้โอกาสเกิดโรคหัวใจก็ลดลง
  • ไขมันในเลือดสูง ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบได้ แต่ยังเป็นปัจจัยที่สามารถควบคุมเพื่อลดความเสี่ยงของโรคได้ 

2. พฤติกรรมการใช้ชีวิต

ปัจจัยของการเกิดโรคหัวใจที่พบบ่อยและหลายคนไม่รู้คือพฤติกรรมของการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นพฤติกรรมซ้ำเดิมที่ทำเป็นเวลานานติดต่อกัน เช่น เครียดสะสม ภาวะอ้วน ขาดการออกกำลังกาย รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงเป็นประจำ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจได้ 

3. ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ 

นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคหัวใจหลายคนยังมีสาเหตุมาจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ปัจจัยทางพันธุกรรมโดยเฉพาะมีพ่อแม่ พี่น้อง หรือญาติสายตรงมีภาวะหัวใจหยุดเต้นหรือเสียชีวิตกะทันหันในช่วงอายุน้อยกว่า 45 ปี นอกจากนี้อายุที่มากขึ้นก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจมากขึ้น และเพศชายยังมีความเสี่ยงสูงกว่าเพศหญิงที่จะเกิดโรคหัวใจด้วย 

การตรวจสุขภาพหัวใจ

การตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจ

การวินิจฉัยโรคหัวใจ สามารถทำได้หลายวิธี ตั้งแต่การตรวจร่างกายและสอบถามประวัติ ร่วมกับการสังเกตอาการที่อาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของหัวใจ หากพบว่ามีความเสี่ยงของโรคมาก แพทย์อาจตรวจเพิ่มเติมด้วยการตรวจเลือด การเอกซเรย์ทรวงอก และใช้เครื่องมือเฉพาะทางสำหรับตรวจหัวใจ ดังนี้

  • EKG/ECG : การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นวิธีตรวจที่ง่ายและรวดเร็ว โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นวิธีที่แพทย์ใช้วินิจฉัยเบื้องต้น แต่สามารถบอกได้ถึงความสม่ำเสมอของอัตราการเต้นของหัวใจในรูปแบบเส้นกราฟไฟฟ้าหัวใจ 
  • Echocardiogram : วิธีตรวจความผิดปกติของหัวใจโดยใช้หลักการส่งคลื่นเสียงเข้าไปในทรวงอก เพื่อรับเสียงสะท้อนแล้วแปลเป็นภาพบนจอแพทย์จะมองเห็นรูปร่าง รวมถึงขนาดของห้องหัวใจตามแรงการบีบของกล้ามเนื้อ และยังเป็นวิธีที่ช่วยตรวจหาภาวะหัวใจพิการแต่กำเนิดได้ 
  • Stress test : เป็นวิธีตรวจสมรรถภาพหัวใจในระหว่างออกกำลังกายด้วยการวิ่งสายพาน วิธีนี้จะใช้ตรวจหาความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย และช่วยให้แพทย์ตรวจพบภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ 
  • Cardiac CT / MRI / Cath lab (cag) : สำหรับวิธีนี้จะเป็นการใช้เทคโนโลยีที่มีความทันสมัยในการตรวจหาความผิดปกติ โดย CT คือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อสร้างภาพหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ MRI เป็นการตรวจหัวใจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ช่วยแพทย์พบปัญหาในห้องหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจ และลิ้นหัวใจ ส่วนการตรวจ Cath lab นั้นเป็นการฉีดสีสวนหลอดเลือดหัวใจ เพื่อตรวจหาความผิดปกติ
  • Holter monitor : เป็นการติดเครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจกับผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง โดยเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่สวมใส่และพกพาได้ ช่วยให้แพทย์เห็นความผิดปกติของจังหวะการเต้นหัวใจได้แม่นยำกว่า EKG เพราะติดตามผลได้ตลอดเวลา

แนวทางการรักษาโรคหัวใจ

สำหรับแนวทางการรักษาโรคหัวใจสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของโรค โดยแพทย์เฉพาะทางจะทำการประเมินการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้ป่วย ซึ่งบางกรณีอาจต้องรักษาหลายวิธีร่วมกัน ทั้งนี้แนวทางการรักษาโรคหัวใจมีรายละเอียด ดังนี้

  • การใช้ยา : หากผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจที่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยการรับประทานยา จำเป็นต้องรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ไม่ควรหยุดหรือปรับขนาดของยาด้วยตัวเอง เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนในภายหลังได้ 
  • การขยายหลอดเลือดหรือ Ablation : วิธีสอดสายสวนหัวใจที่มีบอลลูนขนาดเล็กเข้าทางหลอดเลือดบริเวณขาหนีบ หรือข้อมือ เพื่อให้บอลลูนเข้าไปขยายหลอดเลือดให้กว้างขึ้นจากการสะสมของคราบไขมันและหินปูนที่เกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด 
  • การจี้ไฟฟ้า : วิธีรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยการใช้สายสวนเช่นเดียวกับการขยายหลอดเลือด จากนั้นจะใช้คลื่นวิทยุที่มีความถี่สูงเข้าไปกระตุ้นเพื่อลดความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
  • การผ่าตัดหัวใจ : การรักษาด้วยวิธีผ่าตัดหัวใจ ปัจจุบันทำได้ 2 วิธี คือการผ่าตัดแบบเปิดสามารถใช้รักษาโรคหัวใจได้หลายประเภท แต่มีข้อเสียคือทำให้เจ็บปวดหลังผ่าตัดมากกว่าอีกวิธีซึ่งเป็นการผ่าตัดแบบแผลเล็ก ที่มีขนาดเล็กเพียง 6-8 ซม. เจ็บปวดน้อย แต่เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพเฉพาะ และไม่มีภาวะที่รุนแรงเกินไป 
  • การติดตามผลระยะยาว : ผู้ป่วยโรคหัวใจจำเป็นต้องได้รับการดูแลและติดตามผลในระยะยาวจากแพทย์ เพื่อให้ทราบถึงความเปลี่ยนแปลง และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

โรคหัวใจป้องกันได้ แค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยตัวเอง เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจ และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจในอนาคต โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ควบคุมอาหาร ลดของมัน ของทอด เพื่อควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ งดสูบบุหรี่และจำกัดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที และหาเวลาผ่อนคลายความเครียดอยู่เสมอ หากมีโรคเรื้อรังควรรักษาหรือควบคุมระยะของโรคอย่างเหมาะสม ที่สำคัญคือ การตรวจสุขภาพประจำปีอยู่เสมอ เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ในระยะยาว 

อย่ามองข้ามสัญญาณเล็ก ๆ จากหัวใจของคุณ

อาการแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย และใจสั่น เป็นอาการที่อาจเกิดขึ้นชั่วคราวและหายไปเอง แต่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะอาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนจากหัวใจ ว่าถึงเวลาที่ต้องดูแลร่างกาย เพื่อสุขภาพที่ดีของหัวใจในระยะยาว ทั้งนี้ หากรู้สึกว่าอาการรุนแรง หรือไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติจากภาวะดังกล่าว ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด ก่อนที่อาการจะรุนแรงจนสายเกินไป