ผ่าตัดถุงน้ำรังไข่

ซีสต์หรือถุงน้ำรังไข่ คือภาวะที่พบได้ในผู้หญิงวัยทำงาน เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดอาการปวดท้อง มีรอบเดือนมาไม่ปกติ อีกทั้งยังมีประเภทที่หายได้เอง และต้องรักษาด้วยการผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ เพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน และช่วยให้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ได้ดีอีกครั้ง

ถุงน้ำรังไข่คืออะไร? ใครเสี่ยงเป็นบ้าง?

แม้เป็นโรคที่อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ แต่การทำความเข้าใจถึงอาการถุงน้ำรังไข่ ปัจจัยเสี่ยง และสาเหตุของการเกิดโรค ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถสังเกตความผิดปกติ และสัญญาณเตือนก่อนที่จะบานปลายสู่ภาวะแทรกซ้อนที่มีความรุนแรงของโรคมากขึ้นได้ 

ถุงน้ำรังไข่ต้องผ่าตัดไหม

ถุงน้ำรังไข่ (Ovarian Cyst) คืออะไร

ซีสต์หรือถุงน้ำในรังไข่ (Ovarian Cyst) คือ ภาวะที่มีถุงน้ำเกิดขึ้นบริเวณรอบรังไข่ หรือภายในรังไข่ โดยลักษณะของน้ำที่อยู่ภายในอาจเป็นได้ทั้ง น้ำเหลวใส น้ำที่มีลักษณะเป็นวุ้น หรือมีความข้นหนืด ซึ่งลักษณะของน้ำในถุงน้ำรังไข่นั้นยังใช้บอกประเภทหรือชนิดของถุงน้ำรังไข่ได้

ชนิดของถุงน้ำรังไข่ที่พบบ่อย

โดยปกติแล้วถุงน้ำรังไข่ที่พบบ่อย จะแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ซึ่งจะมีลักษณะและความรุนแรงที่ต่างกัน ตามรายละเอียดต่อไปนี้ 

ชนิดของถุงน้ำรังไข่ที่พบบ่อย

กลุ่มที่ 1 

ถุงน้ำรังไข่ที่เกิดจากกระบวนการทำงานปกติของรังไข่ มีขนาดไม่เกิน 8 ซม. ไม่มีเนื้อตันและมักจะไม่มีอาการแสดงให้เห็น ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเพราะจะค่อย ๆ ยุบลงได้เองภายใน 2-3 เดือน ซึ่งถุงน้ำรังไข่กลุ่มนี้จะเรียกว่า Functional Cyst 

กลุ่มที่ 2

ถุงน้ำรังไข่ที่เกิดจากการที่เนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ซึ่งไปเจริญเติบโตที่รังไข่ ถุงน้ำรังไข่กลุ่มนี้จะเรียกว่า Chocolate Cyst อาจมีอาการปวดบริเวณท้องน้อย สำหรับกลุ่มนี้การรักษาอาจขึ้นอยู่กับความรุนแรง โดยสามารถรักษาได้ทั้งการใช้ยา และวิธีผ่าตัดถุงน้ำรังไข่

กลุ่มที่ 3

กลุ่มสุดท้ายเป็นถุงน้ำรังไข่ที่เป็นเนื้องอก ซึ่งเป็นได้ทั้งเนื้องอกธรรมดา และเนื้องอกมะเร็ง โดยมีความแตกต่างดังนี้

  • เนื้องอกธรรมดา : มักมีส่วนประกอบของเนื้อเยื่อหลายชนิด ได้แก่ ผิวหนัง ฟัน เส้นผม โดยที่พบบ่อย เช่น Dermoid Tumor และ Benign Teratoma 
  • เนื้องอกมะเร็ง : ลักษณะเป็นถุงน้ำมักมีบริเวณที่เป็นเนื้อตัน หรืออาจเป็นก้อนเนื้อตันได้ทั้งหมด เป็นประเภทของถุงน้ำรังไข่ที่ค่อนข้างอันตราย และควรรีบทำการรักษาก่อนลุกลาม 

หากพบผิดปกติที่สงสัยว่าอาจเป็นภาวะของโรคถุงน้ำรังไข่ ไม่ควรนิ่งนอนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ 2 และ 3 ที่เป็นความผิดปกติที่เกิดจากพยาธิสภาพ ต้องรีบทำการรักษา หรือผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ เพื่อลดความเสี่ยงของการแตก รั่ว และลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย 

ปัจจัยเสี่ยงและกลุ่มคนที่มักพบ

แม้ว่าถุงน้ำรังไข่จะเป็นโรคพบบ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน โดยส่วนใหญ่จะพบในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย ดังนี้ 

  • ใช้ยาฮอร์โมนกระตุ้น ทำให้ถุงไข่เจริญขึ้นเป็นจำนวนมาก
  • มีประวัติเคยมีถุงน้ำหรือก้อนรังไข่มาก่อน 
  • มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็น มะเร็งรังไข่ หรือมะเร็งชนิดอื่นที่มีความสัมพันธ์กัน
  • ภาวะติดเชื้ออักเสบในอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง จนเกิดฝีหนองที่รังไข่หรือบริเวณปีกมดลูก 
  • ภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรัง จนถุงน้ำรังไข่มีขนาดใหญ่ขึ้นจากของเหลวที่สะสมภายใน 

อ่านบทความที่น่าสนใจ : เช็กอาการสัญญาณมดลูกหย่อน!  ภัยเงียบที่ผู้หญิงหลายคนมองข้าม

อาการถุงน้ำรังไข่

อาการแบบไหนที่ควรพบแพทย์ทันที?

เมื่อเกิดภาวะถุงน้ำรังไข่ หรือซีสต์ที่รังไข่ หากเป็นก้อนขนาดเล็กมักจะไม่แสดงอาการผิดปกติ แต่เมื่อขนาดของถุงน้ำใหญ่ขึ้น อาจมีการแสดงอาการให้เห็นได้ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงและต้องรีบพบแพทย์ ดังนี้ 

อาการเริ่มต้นที่พบบ่อย

สัญญาณเตือนและอาการเริ่มต้นเมื่อถุงน้ำรังไข่เริ่มใหญ่ เช่น ปวดท้องน้อย ประจำเดือนมาผิดปกติ อาจรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อย และมีอาการท้องผูก 

อาการรุนแรงที่อาจต้องพิจารณาผ่าตัด

อาการถุงน้ำรังไข่อาจรุนแรงขึ้นในบางราย เช่น ท้องบวม รู้สึกแน่นท้อง คลำพบก้อน ไอ ตัวเหลือง ตาเหลือง หากพบอาการเหล่านี้ร่วมกับอาการเริ่มต้น แพทย์อาจต้องพิจารณาแนวทางรักษาด้วยการผ่าตัดถุงน้ำรังไข่

ภาวะแทรกซ้อน เช่น ถุงน้ำแตก หรือบิดขั้วรังไข่

กรณีที่ไม่ได้รับการรักษาถุงน้ำรังไข่ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน อย่างถุงน้ำรังไข่แตก ทำให้มีเลือดออกภายในช่องท้อง ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยปวดท้องรุนแรงและเกิดภาวะช็อกได้ นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อภาวะการบิดขั้วของรังไข่ที่จะขัดขวางการไหลเวียนเลือด ทำให้เกิดเลือดออก เนื้อเยื่อตาย บางคนอาจมีอาการไข้ และปวดท้องรุนแรง ภาวะแทรกซ้อนจำเป็นต้องรีบเข้ารับการรักษาเป็นกรณีเร่งด่วนเท่านั้น 

จำเป็นต้องผ่าตัดถุงน้ำรังไข่เมื่อไหร่?

ถุงน้ำรังไข่บางชนิดสามารถหายได้เอง และรักษาได้ด้วยยา แต่ก็มีบางกรณีที่แพทย์ต้องทำการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดถุงน้ำรังไข่เท่านั้น ดังนี้

  • ถุงน้ำรังไข่ยังคงอยู่หรือมีขนาดโตขึ้นแม้เป็นวัยหมดประจำเดือน 
  • ขนาดของถุงน้ำรังไข่โตขึ้นอย่างรวดเร็ว 
  • ถุงน้ำรังไข่เกิดขึ้นจากพยาธิสภาพอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เนื้องอก มีขนาดใหญ่ และไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา 
  • เป็นถุงน้ำรังไข่แบบเนื้องอก ทั้งกรณีที่เป็นเนื้องอกธรรมดาและเนื้องอกมะเร็ง 

กังวลว่ามีภาวะถุงน้ำรังไข่อยู่หรือไม่? เลือก ปรึกษาแพทย์ ตอนนี้ 

วิธีการผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ มีแบบไหนบ้าง?

การผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ แพทย์จะเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับผู้ป่วย ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับ วัย ภาวะประจำเดือน และความต้องการมีบุตรในอนาคต โดยวิธีผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ในปัจจุบันมี 2 แนวทาง ดังนี้

Single Port Laparoscopic Ovarian Cystectomy

เทคนิคผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ผ่านกล้องแบบแผลเดียว จุดเด่นของเทคนิคนี้คือหลังผ่าตัดผู้ป่วยจะมีแผลที่สะดือแผลเดียว ขนาดประมาณ 1.5 – 2 ซม. และยังมีข้อดีในเรื่องบาดเจ็บน้อย ระยะเวลานอนโรงพยาบาลสั้น กลับไปทำงานได้เร็วโดยที่เกือบจะไม่ทิ้งรอยแผลให้เห็น และเป็นเทคนิคที่ทาง MSC Healthcare ใช้ในการรักษามาตลอด

vNOTES Ovarian Cystectomy

การผ่าตัดผ่านกล้องถุงน้ำรังไข่แบบ vNOTES เป็นวิธีการผ่าตัดโดยใช้กล้องและเครื่องมือผ่าตัดสอดทางช่องคลอดผ่านไปยังช่องท้อง ข้อดีคือไม่ทำให้เกิดรอยแผลบริเวณผิวหนังภายนอก แต่มีแผลเล็กที่บริเวณช่องคลอด และยังเป็นเทคนิคการผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ที่เจ็บน้อย ฟื้นตัวไว กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้เร็ว แต่เป็นวิธีที่เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการมีบุตรในอนาคต และใช้รักษาได้ในบางกรณี ดังนั้น ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยเพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุด

การเตรียมตัวก่อนและหลังการผ่าตัด

การเตรียมตัวก่อนและหลังผ่าตัดถุงน้ำรังไข่อย่างเหมาะสมช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในการรักษา โดยสิ่งที่ต้องรู้ ก่อนและหลังผ่าตัดมีดังนี้

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด

  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ต้องทานเป็นประจำ
  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ไม่น้อยกว่า 4 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
  • งดน้ำและอาหารทุกชนิดไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
  • เตรียมร่างกายด้วยการทานอาหารมีประโยชน์ ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ปรึกษาแพทย์ หากมีความกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัด 

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัด

  • งดมีเพศสัมพันธ์ เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์
  • งดยกของหนักเกินกว่า 5 กิโลกรัม อย่างน้อย 6 สัปดาห์ 
  • พบแพทย์ตามนัด

ถุงน้ำรังไข่กับการมีลูก ผ่าตัดมีผลกระทบไหม?

ถุงน้ำรังไข่มักส่งผลต่อกลไกการทำงานของรังไข่ และเสี่ยงต่อการมีลูกได้ยากขึ้น เนื่องจากฟองไข่ที่อยู่ในสภาพแวดที่มีซีสต์ อาจมีสารเคมีบางอย่างที่ทำให้ฟองไข่ที่ตกในรังไข่ข้างนั้นด้อยคุณภาพลง และเจริญเติบโตได้น้อยกว่าข้างที่ไม่มีซีสต์ นอกจากนี้หากก้อนซีสต์มีขนาดใหญ่ก็ยิ่งขัดขวางการเจริญเติบโตของฟองไข่ ซึ่งอาจทำให้ไข่ไม่ไปตกในข้างที่มีซีสต์ ทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์ลดลงไปด้วย 

อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดถุงน้ำรังไข่อาจส่งผลกระทบกับการมีบุตรในอนาคตได้ โดยแบ่งเป็น 3 กรณี 

  • ตัดรังไข่ออก 1 และไม่ได้ตัดมดลูกออก : กรณีนี้รังไข่อีกข้างยังคงทำงานได้ตามปกติ ยังคงมีฮอร์โมนเพศ และมีการตกไข่ สามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ 
  • ตัดรังไข่ออก 2 ข้าง และไม่ได้ตัดมดลูกออก : กรณีนี้ยังมีมดลูกสำหรับตั้งครรภ์ในอนาคตได้ แต่ต้องใช้เซลล์ไข่จากผู้อื่น หรือคนไข้เคยมีการฝากไข่เอาไว้ 
  • ตัดรังไข่ออก 2 ข้าง และตัดมดลูกออก : กรณีนี้จะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้

การผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ แพทย์จะพิจารณาจากความเสี่ยงของโรค อายุ และความต้องการมีบุตรในอนาคตของผู้ป่วย 

อ่านบทความเพิ่มเติม : ผ่าตัดส่องกล้อง (MIS) แผลเล็ก หายไว เทคนิคใหม่ช่วยคนไข้กลับมาใช้ชีวิตได้เร็วขึ้น

ผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ ที่ไหนดี

ผ่าตัดที่ไหนดี? ทำไมการเลือกสถานพยาบาลจึงสำคัญ

การผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ เป็นวิธีรักษาที่ต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและมีประสบการณ์สูง เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด ดังนั้น การเลือกสถานพยาบาลจึงมีความสำคัญทั้งในเรื่องของการวินิจฉัยโรค ความเหมาะสมในการผ่าตัดรักษาถุงน้ำรังไข่ และการดูแลติดตามผลอย่างต่อเนื่องหลังคนไข้ได้รับการผ่าตัด 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการผ่าตัดผ่านกล้องถุงน้ำรังไข่แบบ V-notes Surgery ยิ่งต้องเลือกสถานพยาบาลที่มีความปลอดภัยสูง เพราะเป็นเทคนิคผ่าตัดที่ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ และเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อให้ได้ผลในการรักษาที่ดี ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน พร้อมให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง 

การผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ควรทำเมื่อไหร่ และเลือกวิธีไหนดี?

ภาวะถุงน้ำรังไข่ เป็นภาวะที่ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ หากสังเกตเห็นอาการที่เข้าข่ายถุงน้ำรังไข่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยเพิ่มเติม เพื่อหาแนวทางรักษาที่เหมาะสมกับประเภท และตำแหน่งของถุงน้ำรังไข่จะดีที่สุด ทั้งนี้หากรู้สึกปวดท้องอย่างรุนแรงร่วมกับอาการไข้ คลื่นไส้ อาเจียน แนะนำให้รีบพบแพทย์เป็นกรณีเร่งด่วน เพราะอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย ซึ่งต้องรีบทำการผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ทันที 

สำหรับผู้ที่มีความกังวลเกี่ยวกับภาวะถุงน้ำรังไข่ หรือต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาถุงน้ำรังไข่ ที่ MSC Healthcare มีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ พร้อมให้คำปรึกษาผ่านระบบ Tele-Med ที่สะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวนาน เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเบื้องต้น ทราบแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับภาวะของโรค ช่วยให้ผู้ป่วยเตรียมความพร้อมได้มากที่สุดสำหรับกรณีที่ต้องได้รับการผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายได้ที่

โทร. 065-509-4459Line : @msc.healthcare