
เมื่อร่างกายมีความผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ทั้งน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ได้ควบคุมหรือทานอาหารเพิ่มมากขึ้น นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพที่มาจากภาวะ ไทรอยด์เป็นพิษ ซึ่งเป็นโรคที่มีผลกระทบกับอวัยวะในร่างกายได้หลายระบบ และหากยิ่งปล่อยไว้ยิ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระดับที่รุนแรงได้
ไทรอยด์คืออะไร?
ไทรอยด์ (Thyroid Gland) คือ หนึ่งในต่อมไร้ท่อที่อยู่ในร่างกายมีลักษณะคล้ายปีกผีเสื้อ อยู่บริเวณลำคอส่วนหน้าใต้ลูกกระเดือก โดยต่อมไทรอยด์มีอยู่ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา มีหน้าที่หลักคือผลิตและหลั่งฮอร์โมนเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อให้ระบบการทำงานของร่างกายตามอวัยวะต่าง ๆ เป็นไปอย่างปกติ เช่น
- ช่วยควบคุมกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย
- ช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย
- ช่วยให้อวัยวะและร่างกายเติบโตได้ตามวัย
- ส่งเสริมการทำงานของ ระบบสมอง อารมณ์ กล้ามเนื้อ กระดูก และหัวใจ
ดังนั้น เมื่อมีภาวะของโรคไทรอยด์เป็นพิษ หรือต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ระบบการทำงานในร่างกายก็จะผิดปกติไปด้วย ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับร่างกายอย่างเห็นได้ชัด

อาการของโรคไทรอยด์เป็นพิษ
เมื่อมีภาวะไทรอยด์เป็นพิษ แต่ละคนอาจแสดงอาการแตกต่างกัน เนื่องจากต่อมไทรอยด์นั้นมีผลต่อการทำงานในหลายระบบของร่างกาย โดยอาการที่พบบ่อยเมื่อสงสัยว่าไทรอยด์เป็นพิษ ได้แก่ มือสั่น ใจสั่น รู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าปกติ น้ำหนักลดหรือเพิ่มอย่างรวดเร็ว อาจมีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่ายร่วมกับปัญหาการนอนไม่หลับ การขับถ่ายบ่อยหรือถ่ายเหลว หรือมีประจำเดือนมาผิดปกติ
สาเหตุของโรคไทรอยด์เป็นพิษ?
สำหรับการเจ็บป่วยด้วยโรคไทรอยด์เป็นพิษนั้นเกิดได้จาก 2 สาเหตุ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- เกิดจากต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไปจนทำให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือดสูง เซลล์ในร่างกายทำงานเร็วเกินกว่าปกติ ซึ่งเรียกว่าภาวะ ไฮเปอร์ไทรอยด์ ส่งผลให้รู้สึกกระสับกระส่าย การควบคุมอุณหภูมิร่างกายผิดปกติ
- เกิดจากต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไปส่งผลให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือดต่ำ เซลล์ในร่างกายจะทำงานช้ากว่าปกติ เรียกว่าภาวะ ไฮโปไทรอยด์ ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย
นอกจากสาเหตุที่มาจากการทำงานผิดปกติของต่อมไทรอยด์แล้ว พฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่างยังมีส่วนกระตุ้นให้เกิดภาวะไทรอยด์เป็นพิษได้ เช่น ผู้ที่มีพันธุกรรมของโรคเกรฟส์ ผู้ที่สูบบุหรี่จัด การใช้ยาที่มีส่วนประกอบของไอโอดีน และการทานอาหารที่มีไอโอดีนมากหรือน้อยเกินไป รวมถึงคนที่มี “เนื้องอกต่อมไทรอยด์” ก็มีความเสี่ยงต่อภาวะไทรอยด์เป็นพิษได้เช่นเดียวกัน
ทำความรู้จัก “เนื้องอกต่อมไทรอยด์”
นอกจากภาวะไทรอยด์เป็นพิษแล้ว ยังมีอีกหนึ่งภาวะที่เกิดขึ้นได้กับต่อมไทรอยด์ของทุกคน นั่นก็คือ เนื้องอกต่อมไทรอยด์ ซึ่งจะมีลักษณะเป็นทรงกลมหรือวงรี พบได้อย่างน้อย 1 ก้อน ในจำนวนครึ่งหนึ่งของประชากร และกว่า 95% ของคนที่มีเนื้องอกต่อมไทรอยด์นั้นไม่ได้เป็นเนื้อร้าย โดยเนื้องอกต่อมไทรอยด์แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
เนื้องอกต่อมไทรอยด์แบบไม่เป็นมะเร็ง
- ภาวะต่อมไทรอยด์อักเสบเรื้อรัง (Hashimoto’s thyroiditis)
- เนื้องอกไทรอยด์ชนิดฟอลลิคูลาร์ (Follicular adenomas)
- คอล์ลอยด์ซีสต์ (Colloid cyst)
- เนื้องอกมีก้อนโตหลายก้อน (Multinodular goiter)
เนื้องอกต่อมไทรอยด์ชนิดเป็นมะเร็ง
- มะเร็งต่อมไทรอยด์ฟอลลิคูลาร์ (Follicular carcinoma)
- มะเร็งต่อมไทรอยด์อะนาพลาสติก (Anaplastic carcinoma)
- มะเร็งต่อมน้ำเหลืองของต่อมไทรอยด์ (Primay thyroid lymphoma)
- มะเร็งต่อมไทรอยด์เมดัลลารี (Medullary carcinoma)
- มะเร็งต่อมไทรอยด์พาพิลลารี่ (Papillary carcinoma)
- มะเร็งระยะลุกลามที่ต่อมไทรอยด์ (Metastic carcinoma)
อาการ เนื้องอกต่อมไทรอยด์
อาการเบื้องต้นของเนื้องอกต่อมไทรอยด์ ส่วนใหญ่ไม่ได้แสดงอาการที่ชัดเจน ยกเว้นกรณีที่เนื้องอกมีขนาดใหญ่จนสามารถคลำได้หรือมองเห็นที่คอ หากก้อนเนื้องอกมีขนาดใหญ่จะเบียดหลอดอาหารทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถกลืนอาหารได้อย่างเป็นปกติ บางรายอาจมีอาการหายใจติดขัด และหากเนื้องอกต่อมไทรอยด์ทำการหลั่งฮอร์โมน Thyroxine ออกมาจำนวนมากก็อาจทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานหนัก จนทำให้เกิดภาวะใจสั่น มือสั่น น้ำหนักลด หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะได้
ผลกระทบต่อร่างกาย
นอกจากอาการที่พบบ่อยเมื่อป่วยด้วยโรคไทรอยด์เป็นพิษแล้ว หากไม่ได้รับการวินิจฉัยเพื่อรักษาโรคไทรอยด์อย่างรวดเร็ว อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายจนมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ เช่น ต่อมไทรอยด์โตอย่างเห็นได้ชัด ตาโปน ตาแดง แห้ง แฉะ หรือไวต่อแสง และผู้ป่วยด้วยโรคไทยรอยด์เป็นพิษส่วนใหญ่ยังมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหัวใจเต้นเร็ว หรืออาจเกิดภาวะหัวใจวายได้ บางคนอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการเปราะบางของกระดูกที่ส่งผลให้เกิดโรคกระดูกพรุนตามมา
สำหรับกรณีที่รุนแรงที่สุด คือ ไทรอยด์เป็นพิษขั้นวิกฤติ ที่มีผลกระทบกับร่างกายพร้อมกันหลายอาการ เช่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส ตัวเหลือง ตาเหลือง อาเจียน หมดสติ หรือหากมีการติดเชื้อรุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

วิธีการรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ
สำหรับการรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ แพทย์จะทำการวินิจฉัยตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละคน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีการรักษาอยู่ 3 วิธี คือ
1. รับประทานยาต้านไทรอยด์
วิธีแรกคือการรับประทานยา โดยยาที่ใช้รักษาจะมีฤทธิ์ต่อต้านการทำงานของฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ ช่วยให้ระดับฮอร์โมนในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ และลดอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย แต่การรับประทานยาเพื่อรักษานั้นต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปี เพื่อให้การรักษาอยู่ในระดับคงที่และไม่มีอาการเกิดขึ้นอีก แต่ระหว่างรักษาหากผู้ป่วยหยุดยาหรือกินยาไม่ต่อเนื่อง อาจส่งผลให้เกิดอาการที่รุนแรงหรือเกิดอาการอื่น ๆ เพิ่มขึ้นได้
2. รับประทานสารไอโอดีนรังสี
การทานสารไอโอดีนรังสี เป็นวิธีรักษาที่แพทย์วินิจฉัยในบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ขึ้นไป ซึ่งหลังกลืนไอโอดีนรังสีแล้วจะเกิดกระบวนการทำลายเนื้อเยื่อต่อมไทรอยด์ ทำให้เนื้อไทรอยด์ลดลงจนอยู่ในระดับใกล้เคียงกับภาวะที่เป็นปกติ สำหรับวิธีนี้จะต้องใช้เวลาในการรักษาต่อเนื่องประมาณ 6 เดือน และในบางรายอาจมีภาวะไทรอยด์ทำงานไม่เพียงพอ จึงต้องเพิ่มยาเสริมการทำงานของต่อมไทรอยด์ร่วมด้วย
3. การผ่าตัดส่องกล้องรักษาไทรอยด์เป็นพิษ
การผ่าตัดส่องกล้องรักษาไทรอยด์เป็นพิษนั้น เป็นการผ่าตัดส่องกล้องทางช่องปากเพื่อทำการผ่าตัดรักษา ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ก่อให้เกิดรอยแผลหลังการผ่าตัด โดยแพทย์ผู้ผ่าตัดสามารถทำหัตถการได้ง่าย เห็นผลไว ลดระยะเวลาในการผ่าตัด ผู้ป่วยยังเจ็บปวดน้อย และฟื้นตัวได้เร็ว วิธีนี้จะเป็นการรักษาด้วยเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ทันสมัย แพทย์ผู้รักษาจึงต้องมีความเชี่ยวชาญและจำเป็นต้องมีประสบการณ์สูง
อ่านบทความที่น่าสนใจ : การผ่าตัดแบบเปิด VS การผ่าตัดส่องกล้อง มีข้อแตกต่างกันยังไง

การดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ
เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ ผู้ป่วยควรให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากเป็นพิเศษ ทั้งการรับประทานยาตามแพทย์สั่ง และการหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด โดยวิธีดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษ มีดังนี้
- หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ อาหารรสจัด ผักที่มีสารกอยโตรเจนอย่าง กะหล่ำปลี บรอกโคลี หรือคะน้า อาหารที่มีไขมัน และน้ำตาลสูง
- หากิจกรรมที่ผ่อนคลาย หรือออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อลดความเครียด และฝึกสมาธิ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- เลี่ยงการทานยาสมุนไพร หรือยาแขนงอื่นที่นอกเหนือจากยาที่แพทย์สั่ง
- พบแพทย์หลังการรักษาเพื่อติดตามผลอยู่เสมอ
ป้องกันไทรอยด์เป็นพิษได้อย่างไร?
แม้ว่าไทรอยด์เป็นพิษจะทำการรักษาได้ แต่การป้องกันโรคย่อมดีกว่า โดยภาวะไทรอยด์เป็นพิษนั้นอาจมีสาเหตุที่ไม่แน่ชัดแบบเจาะจงได้ แต่มักเกิดขึ้นจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันและพันธุกรรม ดังนั้น วิธีการลดความเสี่ยงของโรคไทรอยด์สามารถทำได้ ดังนี้
- ทานอาหารที่มีไอโอดีนบ้างในปริมาณที่เหมาะสม เช่น อาหารทะเล หรือเกลือที่เสริมไอโอดีน เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์
- หลีกเลี่ยงการทานอาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป และอาหารแช่แข็ง แต่ให้เสริมอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ต่อมไทรอยด์ทำงานได้อย่างเป็นปกติ
- ทานอาหารที่มีธาตุเหล็กอย่างเหมาะสม เช่น เนื้อแดงสัตว์ตามธรรมชาติ และธัญพืช เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์จากการขาดธาตุเหล็ก
- หากคลำพบก้อน หรือมีอาการกลืนลำบากร่วมกับหายใจไม่สะดวก ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาเนื้องอกต่อมไทรอยด์
ต่อมไทรอยด์ เป็นต่อมไร้ท่อที่มีบทบาทที่สำคัญต่อร่างกายในหลายด้าน ซึ่งหากต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือทำงานผิดปกติ ระบบการทำงานของร่างกายจะเริ่มรวนและส่งผลให้การใช้ชีวิตประจำวันเป็นเรื่องยาก ดังนั้น เมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติ และมีความเสี่ยงว่าเป็นอาการของไทรอยด์เป็นพิษ แนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์ เพื่อวินิจฉัยและเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความรุนแรงของโรคได้

รักษาภาวะไทรอยด์เป็นพิษและเนื้องอกต่อมไทรอยด์ ด้วยวิธีผ่าตัดส่องกล้อง โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ MSC Healthcare
MSC Healthcare ศูนย์ให้คำแนะนำการผ่าตัดส่องกล้อง (MIS) โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีการรักษาผ่าตัดส่องกล้องทางช่องปาก รักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ เนื้องอกต่อมไทรอยด์ด้วยเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่มีความทันสมัย พร้อมทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญเฉพาะทาง มั่นใจได้ว่าจะได้รับการรักษาที่ตรงจุด และเหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้มากที่สุด เพราะโรคไทรอยด์เป็นพิษร้ายแรงมากกว่าที่หลายคนคิด รู้เร็ว รักษาไว มีโอกาสหายขาดได้
สำหรับผู้ที่ไม่มั่นใจในความผิดปกติของร่างกาย และสงสัยว่าอาจมีภาวะไทรอยด์เป็นพิษ หรือเนื้องอกต่อมไทรอยด์ สามารถ ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ทันที หรือ เลือกปรึกษาแพทย์เฉพาะทางกับ MSC Healthcare เพื่อรับคำแนะนำในการรักษาเพิ่มเติมได้จากทุกที่ ผ่านทางระบบ Telemed