การใส่บอลลูนลดความอ้วน (Gastric Balloon) เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาความอ้วนที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่ประสบปัญหาโรคอ้วนและต้องการทางเลือกที่ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่อย่าง การผ่าตัดกระเพาะ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะอ้วนหรือมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันพอกตับ หรือข้อเข่าเสื่อม แต่จริง ๆ บางท่านอาจจะอยากรู้ว่า “ใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารแล้ว ทำไมต้องถอด ?” และ “สามารถใส่ไว้ตลอดชีวิตได้ไหม ?”

อ่านบทความที่น่าสนใจ : เปรียบเทียบวิธีลดน้ำหนัก ผ่าตัดกระเพาะ VS ใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร แบบไหนเหมาะกับใคร ?

ทำไมบางคนต้อง ใส่บอลลูนลดความอ้วน ?

“บอลลูนลดความอ้วน” เป็นตัวเลือกการรักษาสำหรับผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) เกิน 27 หรือมากกว่าเกณฑ์มาตรฐาน แต่ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร และไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีการดั้งเดิม เช่น การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย กลุ่มผู้ป่วยที่มีความเหมาะสม คือ ผู้ที่มีโรคประจำตัวจากความอ้วน เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ รวมไปถึงผู้ที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ต้องการเสี่ยงกับการผ่าตัดขนาดใหญ่

การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร จึงเป็นทางเลือกที่ดี สำหรับผู้ที่ต้องการวิธีการรักษาที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าการผ่าตัด ที่จะช่วยเพิ่มระยะเวลาการย่อยอาหาร ลดพื้นที่ในกระเพาะอาหาร ลดปริมาณอาหารที่กินเข้าไป และลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพร้อม ๆ กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการกินที่เหมาะสมและอออกำลังกายอย่างถูกวิธี

ถ้าไม่ใส่บอลลูนสามารถตัดกระเพาะแทนได้ไหม ?

“การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร” มีความเสี่ยงต่ำกว่าการตัดกระเพาะมาก เนื่องจากไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่ ใช้เวลาในการทำหัตถการน้อยกว่า และไม่ต้องตัดหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกระเพาะอาหารอย่างถาวร เหมาะสำหรับผู้ที่มีความอ้วนในระดับปานกลางขึ้นไป เป็นการรักษาความอ้วนแบบชั่วคราวและไม่มีความเสี่ยงบางอย่างเมื่อเทียบกับกับการการผ่าตัดใหญ่ เช่น การติดเชื้อ การมีแผลผ่าตัด หรือผลข้างเคียงระยะยาว การใส่บอลลูนจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าในผู้ที่ยังไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัด

ส่วน “การตัดกระเพาะ” เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการรักษาความอ้วน ให้ผลการลดน้ำหนักที่มากกว่าและยาวนานกว่า แต่มีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่สูงกว่า โดยความแพทย์จะวิเคราะห์การเข้าเกณฑ์เบื้องต้นของผู้ป่วยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น 

  • ดัชนีมวลกาย (BMI) สูงกว่า 40 หรือผู้ที่มี BMI สูงกว่า 35
  • ภาวะสุขภาพและโรคที่เกี่ยวกับความอ้วน เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ
  • ความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ดังนั้น การเลือกระหว่าง “ใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร” กับ “การตัดกระเพาะ” จึงขึ้นอยู่กับสภาวะของผู้ป่วยแต่ละคน ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และเป้าหมายการรักษาโดยทั้ง 2 อย่าง จะอยู่ภายใต้การการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

“ใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร” สามารถลดน้ำหนักได้จริง ๆ หรือ ?

ประสิทธิภาพของใส่บอลลูนลดความอ้วน ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถลดน้ำหนักได้ 10 – 25% ของน้ำหนักเกิน ในช่วง 6 เดือนแรก ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกายร่วมด้วย และการใส่บอลลูนเป็นเพียง “ตัวช่วย” ให้ผู้ลดน้ำหนักสามารถควบคุมความหิว และความอยากอาหารได้ดีขึ้น ในขณะที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จะเพิ่มโอกาสประสบผลสำเร็จในการลดน้ำหนัก ไม่ใช่การรักษาแบบถาวร ดังนั้นการปรับพฤติกรรมจึงเป็นหัวใจสำคัญเช่นกัน

หลักการทำงานของบอลลูนลดความอ้วน คือ การลดปริมาตรของกระเพาะอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น กินอาหารได้น้อยลง และอิ่มนานขึ้น บอลลูนจะช่วยชะลอการเคลื่อนไหวของอาหารในกระเพาะ ส่งผลให้กินอาหารได้น้อยลงในแต่ละมื้อ นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถควบคุมปริมาณอาหารได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลดน้ำหนักในที่สุด

สิ่งสำคัญคือการรักษาผลลัพธ์ระยะยาวนั้น ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิตควบคู่กันไปด้วย เช่น

  • การออกกำลังกาย
  • การควบคุมอาหาร
  • การติดตามกับทีมแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

อย่างไรก็ตาม หลังถอดบอลลูนออก แต่หากยังคงกินอาหารแบบเดิม ไม่มีการควบคุมอาหารหรือไม่ออกกำลังกาย น้ำหนักก็อาจกลับมาเพิ่มได้อีก การใส่บอลลูนจึงเป็นเพียง “ตัวช่วยเริ่มต้น” ให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรม ไม่ใช่วิธีลดน้ำหนักแบบถาวร

ใส่บอลลูน สามารถใส่แบบไหนได้บ้าง ?

ปัจจุบัน มีการใส่บอลลูนลดความอ้วน หลายประเภทให้เลือก แต่ละประเภทมีข้อดี – ข้อเสีย และความเหมาะสมที่แตกต่างกันตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย โดยประเภทที่นิยมแบ่งได้เป็น 2 แบบหลัก ๆ ดังนี้

  • บอลลูนแบบ Orbera (Endoscopic Balloon)

เป็นบอลลูนซิลิโคนที่ใส่ในกระเพาะอาหารผ่านการส่องกล้อง ใส่ได้ 6 – 12 เดือน ใช้เวลาในการทำหัตถการเพียง 15 – 30 นาที เป็นบอลลูนที่แพทย์จะใส่เข้าไปในกระเพาะอาหารผ่านการส่องกล้องทางปาก จากนั้นจะเติมสารละลายเข้าไปในบอลลูนเพื่อให้พองตัว บอลลูนประเภทนี้ มีประสิทธิภาพดีและต้องมีการนำออกด้วยวิธีการส่องกล้องเช่นกัน

  • บอลลูนแบบ Allurion (Gas-filled Balloon)

เป็นบอลลูนที่สามารถกลืนเข้าไปได้โดยไม่ต้องใช้การส่องกล้อง ใส่ได้ 3 – 4 เดือน ไม่ต้องดมยาสลบ เป็นบอลลูนชนิดใหม่ที่ผู้ป่วยจะกลืนแคปซูลขนาดเล็กที่มีบอลลูนอยู่ข้างใน เมื่อแคปซูลเข้าไปในกระเพาะอาหารแล้ว แพทย์จะเติมน้ำเข้าไปผ่านท่อเล็ก ๆ เพื่อให้บอลลูนขยายตัว มีขั้นตอนการใส่ที่ง่ายกว่า โดยบอลลูนชนิดนี้ จะค่อย ๆ สลายตัวและถูกขับถ่ายออกมาจากร่างกายได้เอง

ใส่แล้วทำไมต้องถอด สามารถใส่ไว้ตลอดชีวิตได้ไหม ?

การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร ไม่สามารถใส่ไว้ตลอดชีวิตได้ โดยส่วนใหญ่แล้วบอลลูนจะถูกใส่ไว้ในร่างกาย มีระยะเวลาจำกัด เช่น 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของบอลลูน และมีเหตุผลทางการแพทย์หลายปัจจัยที่ต้องถอดบอลลูนออก ดังนี้

  • ความเสื่อมสภาพของวัสดุ

หากปล่อยไว้นานเกินไป กรดในกระเพาะอาหารจะทำให้บอลลูนบาง แตก หรือรั่วได้ บางกรณี อาจเกิดการแตกและเศษบอลลูนอาจไปอุดตันในลำไส้ได้ เพราะวัสดุของบอลลูนมีอายุการใช้งานจำกัด 6 – 12 เดือน เท่านั้น

  • การปรับตัวของร่างกาย

เมื่อเวลาผ่านไป กระเพาะอาหารจะปรับตัวกับการมีบอลลูนในกระเพาะอาหารอยู่ ทำให้ประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักลดลง ร่างกายอาจปรับตัว เริ่มชินกับการมีบอลลูน และสามารถกินอาหารได้มากขึ้น จนบอลลูนไม่ช่วยลดน้ำหนักอีกต่อไป

“เมื่อถึงเวลาที่ต้องถอดออก ผู้ป่วยควรจะสามารถควบคุมพฤติกรรมของตัวเองได้แล้ว”

  • ภาวะแทรกซ้อนระยะยาว

การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารไว้นานเกินไป อาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง การระคายเคืองกระเพาะอาหาร การเกิดแผลในกระเพาะอาหาร หรือปัญหาอื่น ๆ ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดท้องที่อาจเกิดขึ้นได้ หรือในกรณีร้ายแรง อาจจะมีการที่บอลลูนรั่วและเคลื่อนตัวไปอุดตันในลำไส้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

ดังนั้น จึงไม่สามารถใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารตลอดชีวิตได้ ต้องมีการถอดออกเมื่อครบกำหนด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน และเมื่อผู้ป่วยสามารถควบคุมพฤติกรรมการกินได้แล้ว บอลลูนก็จะไม่จำเป็นอีกต่อไป

ถอดบอลลูนออกจากทางไหนได้บ้าง ?

  • การถอดผ่านการส่องกล้อง (Endoscopic)

หากเป็นบอลลูนที่ใส่โดยการส่องกล้อง การถอดออกก็ต้องทำโดยการส่องกล้องเช่นกัน โดยแพทย์จะใช้กล้องส่องกระเพาะอาหารเข้าไปเจาะบอลลูนให้แฟบดูดเอาของเหลวในบอลลูนออก แล้วจึงดึงออกมาทางปาก ใช้เวลาทำหัตถการ ประมาณ 15 – 30 นาที และผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ภายในวันเดียว

  • การถอดแบบไม่ผ่าตัด

สำหรับบอลลูนบางประเภท ที่สามารถละลายออกเองได้ เมื่อครบกำหนดจะมีไส้ในตัวที่จะละลาย ทำให้บอลลูนแฟบ สลายตัว และขับออกมาจากร่างกายเองตามธรรมชาติ

  • การถอดผ่านการผ่าตัด

ในกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น บอลลูนติดแน่นหรือเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งอื่น อาจจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อนำออก แต่สถานการณ์นี้เกิดขึ้นได้น้อยมาก

หลังการถอดบอลลูนออก ผู้ป่วยจำเป็นต้องรักษาพฤติกรรมการกินอาหารและการออกกำลังกายที่ดีต่อไป เพื่อไม่ให้น้ำหนักกลับมาเพิ่มขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน การถอดบอลลูนถือว่าปลอดภัยหากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ถ้าอยากใส่บอลลูนลดน้ำหนัก ต้องทำอย่างไรบ้าง ?

  • การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

เป็นขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุด แพทย์จะประเมินสภาวะสุขภาพโดยรวมของแต่ละบุคคล จะพิจารณาจากดัชนีมวลกาย ประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว ประวัติการเจ็บป่วย และความเหมาะสมของประเภทของบอลลูนที่เหมาะสม รวมถึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการติดตามผลหลังการรักษา

  • การตรวจสุขภาพครบถ้วน

ผู้ป่วยจะต้องได้รับการตรวจเลือด ตรวจหัวใจ การส่องกล้องกระเพาะอาหารเพื่อตรวจหาความผิดปกติในกระเพาะ และการตรวจอื่น ๆ ตามความจำเป็น เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอุปสรรคในการรักษา

  • การเตรียมตัวก่อนการใส่บอลลูน

แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการงดอาหาร การหยุดยาบางชนิด และการเตรียมจิตใจสำหรับการรักษา

  • การวางแผนหลังการใส่บอลลูน

ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการปรับพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย และการติดตามการรักษา หลังจากการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร รวมไปถึงการมีทีมแพทย์ นักโภชนาการ และนักกายภาพบำบัด จะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการรักษา

  • การเตรียมค่าใช้จ่าย

ค่าใช้จ่ายในการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร จะรวมถึงค่าตรวจสุขภาพ ค่าบอลลูน ค่าการใส่และถอด และค่าติดตามการรักษา ซึ่งผู้ป่วยควรสอบถามรายละเอียดค่าใช้จ่ายล่วงหน้า

บอลลูนกระเพาะอาหาร ตัวช่วยลดน้ำหนักที่ช่วยคืนสุขภาพดีให้กับผู้ป่วย

การใส่บอลลูนกระเพาะอาหารเป็นวิธีที่ช่วยลดน้ำหนักให้กับผู้ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพจากภาวะน้ำหนักเกินจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งจากข้อมูลทั้งหมดเห็นได้ว่า วิธีใส่บอลลูนนั้นเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูง และให้ผลลัพธ์ได้ดีภายในเวลา 1 ปี อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ต้องเข้ารับการใส่บอลลูนก็อย่าลืมให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะนำบอลลูนออกไปแล้ว รวมถึงการพบแพทย์เพื่อติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อรับคำแนะนำเรื่องโภชนาการที่เหมาะสม พร้อมกับผลลัพธ์ในการลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพได้ในระยะยาว

MSC Healthcare ศูนย์ให้คำแนะนำผ่าตัดส่องกล้องและการลดน้ำหนัก โดยแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางที่พร้อมให้คำแนะนำและปรึกษาเพื่อรักษาภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งแพทย์จะพิจารณา BMI ของผู้ป่วยเป็นหลัก เพื่อเลือกวิธีรักษาและลดน้ำหนักที่เหมาะสม เพราะที่ MSC มุ่งเน้นที่การรักษามากกว่าเรื่องของความงาม ความปลอดภัยของผู้ป่วยจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายได้ที่

โทร. 065-509-4459

Line : @msc.healthcare